ภรรยายินยอมให้สามีทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้กับธนาคาร ภรรยาจะต้องรับผิดชำระหนี้ด้วยหรือไม่
คำพิพากษาฎีกาที่ 123/2564 (หน้า 10 เล่ม 1) การวินิจฉัยว่าหนี้สินใดเป็นหนี้ร่วมระหว่างคู่สมรสหรือไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อทรัพย์สินของคู่สมรสที่จะถูกบังคับชำระหนี้ ซึ่งหากคู่สมรสอีกฝ่ายไม่ได้มีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ก็ไม่ชอบที่จะถูกบังคับชำระหนี้เกินไปกว่าความรับผิดตามกฎหมาย ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยในเรื่องหนี้ร่วมระหว่างคู่สมรสตาม ป.พ.พ.มาตรา 1490 เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 3 ไม่ได้ฎีกาปัญหานี้ ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142(5) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7
การให้ความยินยอมของคู่สมรสในการทำนิติกรรมเกี่ยวกับการจัดการสินสมรสอันอยู่ในบังคับบทบัญญัติ ป.พ.พ.มาตรา 1476 กำหนดให้เฉพาะการจัดการสินสมรสที่มีความสำคัญตามมาตรา 1476(1)ถึง (😎 ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่าย การทำนิติกรรมในส่วนที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 หาได้อยู่ในบังคับมาตรา 1476 หรือเป็นการจัดการสินสมรสโดยตรงไม่ ดังนั้น กรณีจะเป็นหนี้ร่วมระหว่างสามีภริยาก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 3 คู่สมรสได้ให้สัตยาบันตามมาตรา 1490(4)เท่านั้น
ตามหนังสือให้ความยินยอมของจำเลยที่ 3 คู่สมสรในการทำนิติกรรมระบุว่า คู่สมรสขอให้ความยินยอมต่อการที่คู่สมรสทำคำขอสัญญาข้อตกลงเกี่ยวกับการขอใช้สินเชื่อทุกลักษณะหรือนิติกรรมใดๆกับโจทก์ อันมีลักษณะเป็นการให้ความยินยอมไว้เป็นการทั่วไป ซึ่งเป็นเพียงการแสดงเจตนารับรู้ที่จำเลยที่ 2 สามีไปทำนิติกรรม หาใช่เป็นการให้สัตยาบันตาม ป.พ.พ.มาตรา 1490(5) ไม่ เนื่องจากไม่มีข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ว่า จำเลยที่ 3 รับรองการที่จำเลยที่ 2 ก่อหนี้ขึ้นแล้วตามมูลหนี้ที่มีการทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 คงปรากฏเฉพาะการที่จำเลยที่ 3 รับรู้ถึงการเข้าทำสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่3 ไม่ได้ให้สัตยาบันการก่อหนี้ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 คู่สมรสได้กระทำไป จำเลยที่ 3 ย่อมไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง
(หมายเหตุ 1 ปัญหาว่า หนี้ร่วมระหว่างคู่สมรสตาม ป.พ.พ.มาตรา 1490 เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
2 คดีนี้ โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 2 ที่ให้ความยินยอมให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1
3 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ให้ความยินยอมในการทำสัญญาค้ำประกันในระหว่างที่มีการสมสร หนี้ที่เกิดจากค้ำประกันดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกัน เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภริยาทำด้วยกัน
4 ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 คู่สมรสซึ่งให้ความยินยอมในการทำสัญญาค้ำประกัน เป็นหนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันตามมาตรา 1490(4)
5 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การให้ความยินยอมของคู่สมรสในการทำนิติกรรมเกี่ยวกับการจัดการสินสมรส อยู่ในบังคับบทบัญญัติมาตรา 1476 ที่ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรส การทำนิติกรรมคดีนี้ในส่วนของจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 หาได้อยู่ในบังคับมาตรา 1476 หรือเป็นการจัดการสินสมรสโดยตรง จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1)
โทรหาทนายพัตร์