ทนายความ-คดีทำร้ายร่างกาย-ปรึกษากฎหมาย

ทนายความคดีทำร้ายร่างกาย

ทนายความคดีทำร้ายร่างกาย

  คำพิพากษาฎีกาที่ 703/2506 (สบฎ เน 33) การทำร้ายแค่ไหน จะถือว่าเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามมาตรา 295 หรือไม่นั้น จำต้องพิจารณาถึงการกระทำของจำเลย และบาดแผลของผู้เสียหายประกอบกัน จำเลยเพียงแต่ใช้เท้าเตะและใช้มือตบผู้เสียหาย มิได้ใช้อาวุธทำร้าย ผู้เสียหายได้รับบาดแผลเพียงฟกช้ำเท่านั้น รักษาเพียง 5 วัน ก็หาย ยังถือไม่ได้ว่าเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามมาตรา 295 คงเป็นความผิดตามมาตรา 391

 คำพิพากษาฎีกาที่ 1340/2506 โจทก์ถูกจำเลยชกล้มลงได้รับความกระทบกระเทือนที่ศีรษะรักษาอยู่ 10 วันเศษ กับได้รับแผลภายนอกเป็นรอยบวม เช่นนี้ ถือว่าเป็นอันตรายแก่กายตาม มาตรา 295 แล้ว

 คำพิพากษาฎีกาที่ 1399/08 (สบฎ เน 554) ผู้เสียหายถูก จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชกตี ไม่ปรากฏบาดแผลเป็นอันตรายแก่กาย แล้วถูกพันธนาการ พาตัวไปคุมขังไว้ใต้สถานีตำรวจแต่เดียวดาย ไกลหูไกลตาผู้ต้องหาด้วยกัน ไม่เป็นอันตรายแก่จิตใจตามมาตรา 295

คำพิพากษาฎีกาที่ 1069/2510 การทำให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามมาตรา 295 ต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์การกระทำของจำเลย และบาดแผลของผู้เสียหายประกอบกัน จำเลยใช้มือชกต่อยและใช้เท้าเตะ ผู้เสียหายมีบาดแผลที่หน้าผากข้างขวาถลอก โหนกแก้วขวาบวมเล็กน้อยรักษาประมาณ 5 วันหาย ไม่เป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามมาตรา 295 แต่มีความผิดตามมาตรา 391

คำพิพากษาฎีกาที่ 1867/2527 การทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายนั้น จะต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ความรุนแรงแห่งการกระทำของจำเลยประกอบกับบาดแผล ที่ผู้ถูกทำร้ายได้รับ / จำเลยซึ่งเป็นหญิงใช้เล็บข่วนดั้งจมูกผู้เสียหายเป็นรอยยาวประมาณ 1 ซม.มีโลหิตไหล ยังถือไม่ได้ว่าเป็นอันตรายแก่กาย คงมีความตาม ม.391

 คำพิพากษาฎีกาที่ 2822/2531 จำเลยทั้งสองร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายโดยจำเลยที่ 1 จับคอเสื้อและใช้แขนรัดคอผู้เสียหาย แล้วถามว่าเอ็งงัดบ้านข้าใช่ไหมผู้เสียหายปฏิเสธ จำเลยที่ 1 ขู่ผู้เสียหายให้รับสารภาพอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อผู้เสียหายไม่ยอมรับสารภาพ จำเลยที่ 1 ชักดาบปลายปืนยาวประมาณ 8 นิ้วฟุต ออกมาจี้หลังผู้เสียหาย และขู่ให้รับสารภาพ ผู้เสียหายไม่ยอมรับสารภาพ จำเลยที่ 1 จึงสอดดาบปลายปืนเข้าไปในเสื้อของผู้เสียหาย แล้วกรีดที่หลังและหน้าท้องของผู้เสียหายประมาณ 10 แห่ง กรีดเป็นรอยลึกและมีโลหิตไหล จำเลยที่ 2 ชักปืนออกมาจ่อที่ศีรษะของผู้เสียหายแล้วพูดว่า ถ้าไม่รับจะยิงให้ตาย หลังจากเกิดเหตุแล้ว 5 วัน แพทย์ตรวจพบรอยตกสะเก็ดที่เกิดจากของมีคมบาดที่ด้านหลังและที่หน้าเล็กน้อย บาดแผลหายภายใน 1 สัปดาห์ ดังนี้ถือได้ว่า กระทำให้เกิดอันตรายแก่กายประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 แล้ว

–          ผลโดยตรงจากการกระทำ

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 895/2509 จำเลยเอาก้อนอิฐขว้างปาผู้เสียหาย ผู้เสียหายหลบ ก้อนอิฐไม่ถูกตัวผู้เสียหาย แต่ตัวผู้เสียหายเซไป มือจึงฟาดถูกข้างเรือทำให้ปลายมือบวมยาว 4 เซนติเมตร กว้าง 2 เซนติเมตร และเจ็บบริเวณศีรษะ ถือได้ว่าอันตรายแก่กายนี้ เนื่องจากการกระทำของจำเลย จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 295 (ดู ฎ 658/2536)

คำพิพากษาฎีกาที่ 7156/2542 หากข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งเก้าต่างจุด ประทัดของตนโยนใส่โจทก์ร่วม อันเป็นกรณีที่ต่างคนต่างมีเจตนาทำร้ายโจทก์ร่วม ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงต่างไปจากคำฟ้อง ที่ว่าจำเลยทั้งเก้าร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมก็ตาม แต่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ว่าจำเลยทั้งเก้าแต่ละคน ได้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมแล้ว เพราะในการกระทำนั้น ไม่ว่าจำเลยทั้งเก้าจะร่วมกันกระทำ หรือต่างกระทำผิดตามลำพัง จำเลยทั้งเก้าแต่ละคน ก็ย่อมถูกลงโทษ เป็นแต่จะลงโทษได้เต็มคำขอของโจทก์ และโจทก์ร่วมหรือไม่เท่านั้น (การโยนประทัดเข้าใส่ผู้อื่น เป็นการทำร้าย แต่ผลจากการทำร้าย คือ อันตรายแก่กาย นั้น เกิดขึ้นตามเจตนาของแต่ละบุคคลหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาต่อไป ว่าเป็นการพยายาทำร้าย หรือผิดสำเร็จ)

 

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 351/2508 การที่จำเลยทั้ง 4 วิ่งเข้าไปที่ผู้เสียหายพร้อมกันแล้วจำเลยที่ 4 ชูปืนพร้อมกับร้องห้ามไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปช่วย และในขณะเดียวกัน จำเลยที่ 1-2-3 ก็เข้ากลุ้มรุมทำร้ายผู้เสียหาย เช่นนี้ถือว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิด เป็นตัวการ

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 2285/2516 จำเลยกับพวกเอาไม้ทุบรั้วบ้าน ต. และท้าท้ายให้ ต. ลงจากบ้านไปสู้กัน ภริยา บุตร และมารดาของ ต. ลงไปดึง ต. ไว้จำเลยกับพวกก็พังประตูเข้าไป พวกของจำเลยใช้ไม้ตีภริยาของ ต. ดังนี้ จำเลยกับพวกมีเจตนาจะทำร้ายคนในบ้าน ต. ด้วยไม่เฉพาะแต่จะทำร้าย ต.คนเดียว จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายภริยา ต. ด้วย

 

–       (ขส พ 2501/ 6) แดง ดำ และเขียว เสพสุรา แล้วพายเรือกลับบ้านด้วยกัน เกิดทะเลาะกัน นายดำใช้พายตีนายแดง มีบาดแผลและเรือล่ม นายดำ และนายเขียวว่ายน้ำได้ นายแดงจมน้ำ โดยนายดำและเขียวรู้ว่าแดงว่ายน้ำไม่เป็น / ตามปัญหา ไม่ได้ความว่าเรือล่มเพราะเหตุตีกัน นายดำผิด ม 295 (ดูประเด็น ม 290 และเหตุแทรกแซง ) ส่วนนายเขียวไม่ผิด ม 374 เพราะไม่ปรากฏว่า สามารถช่วยได้แต่ไม่ช่วย

–       (ขส พ 2515/ 6) แดงข่มเหงดำ ดำบันดาลโทสะแทงแดง พลาดไปถูกเขียว เขียวโกรธวิ่งไปเอาปืนที่บ้านมายิงดำ แต่ลืมบรรจุกระสุนปืนไว้ / ดำผิด ม 295,60 อ้างบันดาลโทสะได้ ม 72 1682/2509 / เขียวผิด ม 288,81 อ้างบันดาลโทสะได้ ม 72 247/2478

–       (ขส พ 2529/ 7) ก ข แดง ดำ สมัครใจวิวาท แดงใช้ไม้ซีกตี ก ทีเดียว ก ตาย / ทุกคนผิด ม 294 แดงต้องรับผลที่ตนทำ แต่ยังไม่พอฟังว่า มีเจตนาฆ่า แดง ผิด 294+290 505/2504 1064/2519 / สมบอกให้สมชายขว้างอิฐไปที่ ข และ ดำ ตีกัน สมชาย ตรงไปที่ ข และดำ ตีกัน แล้วขว้างอิฐไปตรงที่วิวาท ทำให้บาดเจ็บ ผิด ม 295 / สมใจผู้ใช้ให้สมชายขว้าง ผิด ม 295+84

–       (ขส อ 2541/ 1) ร่วมกันทำร้าย ห้ามแล้ว แต่เพื่อนอัดตาย / เป็นตัวการ ม 83 ห้ามแล้วเจตนาร่วมยุติ คนห้าม ผิด ม 295+83 คนทำต่อประสงค์ต่อผล ผิด ม 288 (“ทำร้ายถึงแก่ความตาย” ไม่ ม 290) / ต่อยกันในร้าน เล็งเห็นทรัพย์เสียหาย ผิด ม 358

 

 

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 1037/2503 สารวัตรกำนันเป็นผู้ช่วยกำนัน เมื่อกำนันมีหน้าที่และอำนาจจับกุมผู้กระทำผิด สารวัตรกำนันก็ย่อมช่วยกำนันทำการจับกุมผู้กระทำผิดได้ และการช่วยทำการจับกุมผู้กระทำผิดนี้ ไม่จำเป็นจะต้องให้กำนันเรียกร้องให้ช่วย หรือต้องมีตัวกำนันอยู่ด้วย เพราะกฎหมายให้มีหน้าที่ช่วยกำนันอยู่ในตัวเป็นปกติแล้ว เมื่อจำเลยต่อสู้และทำร้ายสารวัตรกำนันในการจับกุมจำเลย และควบคุมจำเลยส่งเจ้าพนักงานสอบสวน ย่อมได้ชื่อว่าจำเลยต่อสู้ผู้ต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ตาม มาตรา 138 และทำร้ายผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานตามมาตรา 289 อันเป็นความผิดตามมาตรา 296

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 3355/2528 จำเลยขับรถยนต์ของกลางชนท้ายรถจี๊ปที่ ร.ต.ต. ส. ขับขี่โดยมีเจตนาทำร้าย เพราะโกรธเคืองที่จับจำเลยมาสถานีตำรวจและไม่ยอมปล่อยจำเลยตามคำขอร้องของ จำเลยจน ร.ต.ต. ส.ได้รับบาดเจ็บ จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. ม.296 รถยนต์ของกลางจึงเป็นทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำผิด ศาลมีอำนาจริบเสียได้ตาม ป.อ. ม.33

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 134/2536 จำเลยทั้งสองชวนและพาผู้เสียหายออกไปจากเวทีรำวง เมื่อถึงที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้ร้องบอกให้พวกของจำเลยทั้งสองที่รอคอยอยู่ก่อนเข้าทำร้ายผู้เสียหาย แสดงว่าจำเลยทั้งสองกับพวกต้องคบคิดวางแผนนัดหมายกันไว้ก่อน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายโดย ไตร่ตรองไว้ก่อน / โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 80, 83 ทางพิจารณาปรากฏว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิด เพียงฐานทำร้ายผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยไม่มีเจตนาฆ่า  แต่ก็ถือว่าเป็นความผิดที่รวมอยู่ในลักษณะเดียวกัน   แม้มิใช่ความผิดตามที่โจทก์ฟ้องโดยตรง และมิใช่มาตราที่โจทก์ขอให้ลงโทษ  ศาลก็ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 296,83 ที่พิจารณาได้ความได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 176/2543  การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดฟันพลตำรวจ ก. ซึ่งแต่งกายเครื่องแบบตำรวจและออกตรวจท้องที่ ในขณะปฏิบัติหน้าที่สามีภริยาทะเลาะวิวาทกัน ไม่ว่าการใช้อาวุธมีดฟันทำร้ายร่างกายพลตำรวจ ก. ดังกล่าวจะมีมูลเหตุมาโดยประการใด หรือไม่เกี่ยวข้องกับการที่พลตำรวจ ก. กับพวกจับกุมจำเลยที่ 1 กับพวก ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำร้ายร่างกายพลตำรวจ ก. เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ เพราะการที่พลตำรวจ ก. กับพวกกำลังระงับเหตุทะเลาะวิวาทกันดังกล่าว ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตามหน้าที่ โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 ย่อมเป็นความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 296 (ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม มาตรา 140 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 138 วรรคสอง, มาตรา 83 จำคุกคนละ 6 เดือน และจำเลยที่ 1 มีความผิดตาม มาตรา 296,371 เป็นความผิดหลายกรรม ศาลอุทธรณ์แก้โทษ )

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 2741/2550 การที่จำเลยใช้ไม้ตีแล้วกอดปล้ำผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและแต่ง เครื่องแบบตำรวจออกตรวจท้องที่ ในขณะปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในงานวัด ไม่ว่าการทำร้ายร่างกายดังกล่าวจะมีมูลเหตุมาโดยประการใด ก็เป็นกรณีที่ถือได้ว่าจำเลยได้ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานตำรวจผู้กระทำการ ตามหน้าที่เพราะการที่ผู้เสียหายกำลังปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ภายในงานวัดเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการ ตามหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา 296

 

–          คำพิพากษาฎีกาที่ 1116/2502 จำเลยต่อยถูกตาผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ตาผู้เสียหายบอด แม้จะไม่ได้ตั้งใจทำร้ายให้ถึงตาบอด ก็ย่อมมีผิดตาม มาตรา 297 (1)

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 313/2529 ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตาม ป.อ.ม. 297 เป็นเหตุทำให้ผู้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายตาม ม.295 ต้องรับโทษหนักขึ้นเพราะผลที่เกิดจากการกระทำ โดยที่ผู้กระทำไม่จำต้องมีเจตนาต่อผลที่ทำให้ต้องรับโทษหนักขึ้น ตัวการที่ร่วมทำร้าย แม้จะไม่มีเจตนาให้ผู้นั้นได้รับอันตรายสาหัส หรือมิได้เป็นผู้ลงมือกระทำให้เกิดผลขึ้น ก็ต้องรับผิดในผลนั้นด้วย

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 1001/2547 ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 297 เป็นเหตุที่ทำให้ผู้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา 295 ต้องรับโทษหนักขึ้นเพราะผลที่เกิดจากการกระทำ โดยที่ผู้กระทำไม่จำต้องประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลถึงอันตรายสาหัสนั้น ดังนั้น แม้จำเลยจะทำร้ายผู้เสียหายโดยหามีเจตนาทำให้แท้งลูกก็ตาม เมื่อผลจากการทำร้ายนั้นทำให้ผู้เสียหายต้องแท้งลูกแล้ว จำเลยก็ต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (5)

มาตรา 297 (1)       ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท

มาตรา 297 (2)        เสียอวัยวะสืบพันธุ์ หรือความสามารถสืบพันธุ์

 

มาตรา 297 (3)      เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว หรืออวัยวะอื่นใด

 

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 467/2508 (สบฎ เน 554) การเสียอวัยวะที่จะถือว่าสาหัส ตาม ม 297 (3) คำว่า “อวัยวะอื่นใด” ย่อมหมายถึง อวัยวะอื่น นอกจากที่ระบุไว้ ซึ่งต้องสำคัญเช่นกัน และเมื่อสูญเสียแล้ว เป็นเหตุให้กลายเป็นคนพิการไปด้วย ฟันหัก 1 ซี่ ยังไม่ถือว่าสาหัส

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 630/2509 คำว่า อวัยวะอื่นใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (3) หมายถึงอวัยวะส่วนสำคัญเช่น แขน ขา มือ เท้า นิ้ว ดังระบุไว้ในตอนต้น / ฟันทั้งหมดในปากรวมกัน ก็เป็นอวัยวะส่วนสำคัญ ถ้าฟันหักไปหลายซี่ เป็นเหตุให้ส่วนที่เหลืออยู่ใช้การไม่ได้ตามสภาพของฟัน เช่น เคี้ยวอาหารไม่ได้ไปแถบหนึ่ง ก็ถือได้ว่าเป็นการเสียอวัยวะส่วนสำคัญ อันเป็นอันตรายสาหัส เพียงแต่ได้ความว่าฟันแท้บนด้านหน้าหักไป 3 ซี่ จะถือว่าเป็นการเสียอวัยวะส่วนสำคัญยังมิได้ เว้นแต่โจทก์จะนำสืบให้เห็นว่า เมื่อถูกทำร้ายแล้ว ผู้เสียหายใช้ฟันที่เหลืออยู่เคี้ยวอาหารไม่ได้ ตามนัยที่กล่าวข้างต้น

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 631/2509 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (3) เจตนารมณ์ของกฎหมายมุ่งหมายถึงการก่อให้เกิดอันตรายแก่กายที่สูญเสียอวัยวะ สำคัญๆ ของร่างกาย เช่นที่ระบุไว้ในกฎหมายนั้น ดังนั้น  การสูญเสียอวัยวะอื่นใดตามมาตรา297 (3) ก็ต้องเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกายหรือต้องสูญเสียไปถึงขนาดเทียบ เท่าเสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว ตามที่กฎหมายระบุไว้แล้ว มิใช่ว่าเสียอวัยวะส่วนใด ๆ ก็เป็นอันตรายสาหัสเช่นเดียวกันทั้งหมดไป / โจทก์ต้องเสียฟันไปเพียงซี่เดียว แม้ฟันจะเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายแต่เฉพาะท่าที่เสียไป ยังไม่ถึงขนาดที่จะถือได้ว่ามีความสำคัญหรือการสูญเสียเทียบเท่าการเสีย  แขน  ขา มือ เท้า หรือนิ้ว อันเป็นอวัยวะที่กฎหมายระบุไว้ชัดแจ้งนั้น จะนับได้ว่าโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสตามความในมาตรา 297 (3) บัญญัติไว้ยังไม่ได้

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 4949/2540 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่าตาม วันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายนิยม เขียวจีน ผู้เสียหายถูกทำร้ายด้วยมีด นิ้วก้อยข้างซ้ายขาดได้รับอันตรายสาหัส คดีมีปัญหาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะ จำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ก่อนเกิดเหตุที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายจนนิ้วก้อยข้างซ้ายขาดนั้น ผู้เสียหาย ไม่ได้มีสาเหตุหรือทะเลาะกับจำเลยที่ 2 มาก่อนแต่ประการใด ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมสมคบหรือวางแผนเพื่อทำร้ายผู้เสียหาย และขณะผู้เสียหายถูกทำร้ายนั้น จำเลยที่ 2 ก็มิได้อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุพอที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 1 และที่ 3 คงได้ความแต่ เพียงว่า เมื่อผู้เสียหายวิ่งหลบหนี ภายหลังถูกจำเลยที่ 1 และที่ 3 ทำร้ายแล้วมาพบ จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้จับชายผ้าขาวม้าที่ผู้เสียหายคาดเอวไว้ และจำเลยที่ 2 กับพวก รุมชกต่อยผู้เสียหายจนกระทั่งจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตามมาทัน จำเลยที่ 1 จึงใช้มีดฟัน ผู้เสียหาย แต่พลาดไปถูกขาจำเลยที่ 2 ได้รับบาดเจ็บ พฤติการณ์และการกระทำของ จำเลยที่ 2 ดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังผู้เสียหายถูกทำร้ายจนได้รับอันตรายสาหัสไปแล้ว การที่จำเลยที่ 2 ชกต่อยทำร้ายผู้เสียหายในตอนหลัง และข้อเท็จจริงได้ความแต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 มางานเลี้ยงที่บ้านนายดีมพร้อมกับจำเลยที่ 1 ยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 ร่วม กับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ทำร้ายผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสจำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 คงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 เท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น”

มาตรา 297 (4)       หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว 

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 351/2508 การที่จำเลยทั้ง 4 วิ่งเข้าไปที่ผู้เสียหายพร้อมกันแล้วจำเลยที่ 4 ชูปืนพร้อมกับร้องห้ามไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปช่วย และในขณะเดียวกัน จำเลยที่ 1-2-3 ก็เข้ากลุ้มรุมทำร้ายผู้เสียหาย เช่นนี้ถือว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิด เป็นตัวการ / ลักษณะและสภาพของบาดแผล จะทำให้ผู้เสียหายถึงต้องหน้าเสียโฉมติดตัว เพราะกะโหลกศีรษะตอนหน้าผาก จะเป็นรอยบุบยุบเข้าไป นับได้ว่าผู้เสียหายรับอันตรายสาหัสตาม มาตรา 297

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 598/2510 ถูกตีด้วยท่อนเหล็ก มีแผลเป็นเป็นรอยขีด ตั้งแต่ริมจมูกข้างซ้ายยาวพาดดั้งจมูกไปจนถึงตาขวายาว 6 ซ.ม.  กว้าง 0.1 ซ.ม. แห่งหนึ่งกับอีกแห่งหนึ่งจากหัวตาขวาเฉียงลงมาใต้ตาขวา ยาว 3.5 ซ.ม. มองเห็นแผลเป็นดังกล่าวได้ชัดในระยะ  2 เมตร  ยังไม่เรียกว่าหน้าเสียโฉมติดตัวอันเป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (4)

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 1557/2512 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเกิดโทสะใช้มีดโต้ใบมีดกว้างราว 3 นิ้วมือผู้ใหญ่ติดกัน ยาวราว 1 ฟุต ฟันผู้เสียหายซึ่งเป็นพ่อตา 2 ที ถูกที่ใบหน้า 1 แห่ง แผลเย็บแล้วยาว 14 เซ็นติเมตร ยาวจากโหนกแก้มอีกข้างหนึ่งพาดผ่านจมูกเต็มใบหน้าเห็นได้ชัดอันเป็นเหตุให้ หน้าเสียโฉม อีกแผลหนึ่งที่กลางหลังยาว 9 เซ็นติเมตร สาเหตุเนื่องจากผู้เสียหายดุด่าลูกจำเลย ดังนี้เห็นได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า เพราะถ้าจำเลยมีเจตนาฆ่า จำเลยต้องฟันมากครั้งกว่านี้และเลือกเฟ้นที่อวัยวะสำคัญมากกว่านี้ได้  ทั้งลักษณะบาดแผล ก็ไม่ปรากฏว่าอาจทำให้ถึงอันตรายแก่ชีวิต จำเลยจึงมีผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายสาหัสเท่านั้น

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 2197/2519 แผลถูกคมมีดหายแล้วเป็นแผลเป็น จากใต้ใบหูท่อนล่าง พาดข้างแก้มลงไปถึงคอยาว 16 เซ็นติเมตร เป็นสันนูนกว้างครึ่งเซ็นติเมตร สูงครึ่งเซนติเมตร เห็นได้ชัดในระยะ 5 เมตร เป็นแผลทำให้รูปหน้าเสียโฉมอย่างติดตัว

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 3088/2527 ผู้เสียหายมีบาดแผลฉีกขาดบนใบหน้าหลายแห่ง ต้องเย็บตามคิ้วเปลือกตาบนและที่แก้ม เมื่อแผลหายจะเป็นแผลเป็นติดใบหน้า มองเห็นได้ชัดเจนในระยะ 15 เมตร ถือได้ว่าหน้าเสียโฉมอย่างติดตัว อันเป็นอันตรายสาหัสแล้ว จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ และ ป.อ.ม.300 ลงโทษตาม ม.300 ซึ่งเป็นบทหนัก

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 313/2529 จำเลยทั้งสามรุมชกต่อยผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 ใช้มีดตัดกระดาษกรีดใบหน้าผู้เสียหายเป็นแผลเสียโฉมติดตัว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมทำร้าย จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสตาม ม.297 (4) ด้วย แต่ศาลลงโทษน้อยกว่าจำเลยที่ 1 ผู้เป็นต้นเหตุ

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 754/2532 ใบหูเป็นส่วนหนึ่งของใบหน้าที่ประกอบรูปหน้าให้งาม เมื่อใบหูขาดไปถึงหนึ่งในสาม ย่อมจะทำให้รูปหน้าเสียความงามอันเป็นการเสียโฉมอย่างติดตัว แม้ผู้เสียหายจะรักษาตัวไม่เกิน 14 วัน ผู้เสียหายก็ได้รับอันตรายสาหัสแล้ว

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 1094/2543 ผู้เสียหายทั้งสองถูกจำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันใช้มีด ขวดเบียร์ และไม้ฟัน แทง ตี จนได้รับบาดเจ็บ ผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลฉีกขาดที่ใบหน้าและศีรษะ สำหรับที่ใบหน้ามีบาดแผลฉีกขาดที่แก้มซ้ายขนาดยาว 6 เซนติเมตร และยาว 5 เซนติเมตร ต้องเย็บถึง 100 เข็ม ซึ่งบาดแผลดังกล่าวหลังเกิดเหตุ 20 วัน สามารถมองเห็นได้ชัดในระยะ 5 เมตร แม้จะทำศัลยกรรมตบแต่งบนใบหน้าก็ไม่สามารถทำให้หายเป็นปกติได้ แต่จะจางลง วันที่ผู้เสียหายที่ 2 มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ห่างจากวันเกิดเหตุประมาณ 8 เดือนเศษ ก็ยังปรากฏรอยแผลเป็นให้เห็นชัดทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว เป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (4)

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 1665/2543 การที่จำเลยโกรธโจทก์ร่วมที่ไม่ยอมลงชื่อรับหนังสือจากจำเลย และด่าโจทก์ร่วมว่า “ไอ้ลูกหมา” พร้อมกับผลักโต๊ะใส่ แล้วเข้ากอดปล้ำต่อสู้กัน ถือว่าจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุกับสมัครใจทะเลาะวิวาท จึงไม่อาจอ้างว่ากระทำไปเพื่อป้องกัน เพราะการป้องกันโดยชอบตาม ป.อ. มาตรา 68 ต้องเป็นกรณีที่ผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียวก่อน จึงได้กระทำไปเพื่อป้องกันสิทธิของตนเอง / ใบหูเป็นส่วนที่ประกอบรูปหน้าให้งาม การที่ใบหูขาดไปส่วนหนึ่งซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ย่อมทำให้รูปหน้าเสียความงามอันเป็นการเสียโฉมอย่างติดตัว แม้บาดแผลจะรักษาหายประมาณ 14 วันโจทก์ร่วมก็ได้รับอันตรายสาหัสแล้ว

 

 

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 677/2510 การกระทำอันจะเป็นผิดฐานทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายถึงสาหัส ถึงแท้งลูก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(5) จะต้องเป็นกรณีที่กระทำให้ลูกในครรภ์ของผู้ถูกทำร้าย คลอดออกมาในลักษณะที่ลูกนั้นไม่มีชีวิต ส่วนการคลอดก่อนกำหนดเวลา ในลักษณะที่เด็กยังมีชีวิตอยู่ต่อมาอีก 8 วันแล้วจึงตาย ดังนี้ ไม่เป็นการทำให้ได้รับอันตรายสาหัสถึงแท้งลูก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (5)

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 1001/2547 ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 297 เป็นเหตุที่ทำให้ผู้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา 295 ต้องรับโทษหนักขึ้นเพราะผลที่เกิดจากการกระทำ โดยที่ผู้กระทำไม่จำต้องประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลถึงอันตรายสาหัสนั้น ดังนั้น แม้จำเลยจะทำร้ายผู้เสียหายโดยหามีเจตนาทำให้แท้งลูกก็ตาม เมื่อผลจากการทำร้ายนั้นทำให้ผู้เสียหายต้องแท้งลูกแล้ว จำเลยก็ต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (5)

มาตรา 297 (6)       จิตพิการอย่างติดตัว

มาตรา 297 (7)      พพลภาพ หรือป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต

มาตรา 297 (8)      ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้ เกินกว่ายี่สิบวัน 

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 970/2491 ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บไม่สามารถจะทำการงานอย่างใด ๆ เป็นเวลา 27 วัน เพราะยกแขนขึ้นไม่ได้ ให้เจ็บปวด ดังนี้ ย่อมฟังได้ว่า ผู้เสียหายไม่สามารถจะประกอบการหาเลี้ยงชีพได้โดยปกติเกินกว่า 20 วัน ต้องตามบทบัญญัติมาตรา 256 ข้อ 8 / ศาลชั้นต้นลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 256 ศาลอุทธรณ์แก้ลงโทษตามมาตรา 254 ดังนี้เป็นแก้มาก โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงได้

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 1019/2491 บาดแผลของผู้เสียหายรักษา 1 เดือนเศษหาย ระหว่างแผลยังไม่หาย เดินไปไหนมาไหนได้ ไม่ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ แต่ทำงานหนักไม่ได้ แต่ 20 วันแล้วทำงานหนักได้ 20 วันไถนาได้แต่ไม่ปรกติแท้ ดังนี้ยังฟังไม่ถนัดนักว่า บาดเจ็บนั้นจะถึงไม่สามารถจะประกอบการหาเลี้ยงชีพได้โดยปรกติเกิน 20 วัน จึงไม่เป็นบาดเจ็บสาหัสตามมาตรา 256 / ศาลชั้นต้นลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 254 ศาลอุทธรณ์ลงโทษตามมาตรา 256 เป็นแก้มาก ฎีกาในข้อเท็จจริงได้

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 521/2495 บาดแผลถูกฟันที่หลังแขนซ้ายแผลกว้าง 4 เซนติเมตร ยาว 4 เซนติเมตร ลึกเข้ากระดูกปลายแขน แผลตัดเนื้อกล้ามขาด รักษาอยู่ 20 วันแผลหาย แต่แขนเหยียดไม่ได้ นิ้วก็กระดิกไม่ได้ แพทย์ยืนยันว่า เพราะแผลลึกตัดเส้นวิถีประสาทส่วนปลายแขนขาดออกจากกัน แม้แผลหาย เส้นวิถีประสาทไม่ติดต่อกันได้ ไม่สามารถจะบังคับให้มีการเคลื่อนไหวได้เหมือนเดิมและปรากฏว่าผู้เสียหายมี อาชีพทางทำนา เช่นนี้ ต้องฟังว่าเป็นบาดแผลถึงสาหัสตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 256

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 966/2499 ได้ความว่าผู้เสียหายมีอาชีพทำนา ถูกชกด้วยสนับมือ มีบาดแผลที่ขอบตาล่างขวาฉีกลึก 1 ซม.ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาท 20 วันก่อนระหว่างนั้นทำงานไม่ได้ ดังนี้ถือได้ว่าผู้เสียหายไม่สามารถประกอบการหาเลี้ยงชีพได้ปกติเกิน 20 วันอันเป็นบาดเจ็บสาหัส

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 1265/2510 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัสทุพพลภาพ ป่วยเจ็บ ด้วยอาการทุกขเวทนาและประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกิน 20 วัน จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ปรากฏตามหลักฐานในสำนวนว่าผู้เสียหายถูกทำร้ายแล้ว 3 วัน จึงเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาลอีก 20 วัน เมื่อนับรวมวันที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายจนออกจากโรงพยาบาลจึงเป็นเวลา 23 วัน ดังนี้ ย่อมฟังได้ว่าผู้เสียหายถูกทำร้ายได้รับอันตรายแก่กายจนประกอบกรณียกิจตาม ปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน จำเลยต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 96/2512 (สบฎ เน 2109) ผู้เสียหายมีอาชีพพิมพ์ดีด ถูกทำร้ายเป็นเหตุให้ความสามารถในการพิมพ์ดีดลดลง พิมพ์ได้ช้ากว่าอัตราปกติ เกินกว่า 20 วัน ไม่เรียกว่าประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกิน 20 วัน

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 2066/2514 ผู้เสียหายถูกทำร้าย กะโหลกศีรษะร้าว ต้องใช้เวลารักษาประมาณ 1 ปีครึ่ง กระดูกจึงจะเชื่อมติดกันได้และแข็งแรงพอ จะมีอาการปวดศีรษะในระยะ 1 เดือนแรก ไม่สามารถนั่งขายของได้ตามปกติ ถือได้ว่าผู้เสียหายรับอันตรายสาหัส ตาม มาตรา 297

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 3863/2525 จำเลยเมาสุราได้ยิงปืนนัดแรกที่ห้องพัก นัดที่สองยิงขึ้นฟ้า แล้วลดปืนลง กระสุนปืนนัดที่สาม ก็ลั่นถูกผู้เสียหายที่เอว เมื่อเป็นปืนลูกโม่ที่การยิงจะต้องเหนี่ยวไกทีละนัด กระสุนปืนนัดที่สามจึงลั่น เพราะเจตนายิง แต่เป็นขณะเมาสุรา ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ไม่มีเหตุเพียงพอจะคิดฆ่า ทั้งมิได้จ้องยิงตามปกติ และในขณะอยู่ห่างกัน 2 เมตร ผู้เสียหายต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล 30 วัน จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ.ม.297 (8) มิใช่เป็นความผิดตาม ม.300 (ขณะยิงนัดแรก เป็นเจตนาเล็งเห็นผล ซึ่งอาจทำให้ถึงตายได้ จึงควรปรับด้วยเจตนาฆ่า ไม่ถูกผู้เสียหาย ควรต้องรับผิด ตาม ม 288+80 ส่วนนัดที่สามลั่นถูกผู้เสียหาย โดยมิได้เจตนายิงเพื่อทำร้ายหรือฆ่า ควรต้องรับผิด ม 300 แล้ว ใช้ ม 90)

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 2243/2526 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. ม.300 พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ โดยบรรยายฟ้องว่า ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บถึงทุพพลภาพและป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน หรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วันแม้โจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยภายหลังวันเกิดเหตุเพียง13 วัน เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจที่จะรับฟังข้อเท็จจริงตามฟ้อง แล้วพิพาทคดีโดยไม่สืบพยานได้ตาม ป.ว.อ.ม.176

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 2802/2526 โจทก์ร่วมถูกฟันที่ต้นแขน ปลายแขน และข้อมือขวา ลึกผ่านชั้นกล้ามเนื้อและตัดประสาทที่ไปเลี้ยงแขน ต้องรักษาตัว 2 เดือนเศษจึงหายเป็นปกติ แต่ทำงานไม่ได้ ลักษณะบาดเจ็บดังกล่าวถึงสาหัสตาม ป.อ.ม.297 (8) แล้ว ไม่จำต้องให้ได้ความว่าผู้บาดเจ็บถึงแก่ต้องพยุงลุกพยุงนั่ง / โจทก์ร่วมวิ่งตาม พ. ไปเห็นจำเลยตบหน้า พ. แล้วเงื้อมีดดาบจะฟัน โจทก์ร่วมจึงผลัก พ. ให้พ้นไป จำเลยก็ฟันถูกโจทก์ร่วม 3 ครั้ง ลักษณะการทำร้ายของจำเลย มิใช่เนื่องในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปตาม ม.299

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 3862/2528 ผู้เสียหายถูกจำเลยตีที่ชายโครงซ้าย เกิดเหตุแล้ว 7-8 วันก็ไปทำงานตามปกติ  ภายหลังจากเกิดเหตุ 17 วัน ได้ไปหาแพทย์เอ็กซเรย์แล้ว พบว่ากระดูกซี่โครงซ้ายร้าว 2 ซี่ แพทย์จ่ายยาให้ไปรับประทานที่บ้าน มิได้รับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล โดยแพทย์มีความเห็นว่า จะต้องรักษาเกินกว่า 21 วัน จึงหาย ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน ตามความหมายใน ป.อ. ม.297 (8) จำเลยคงมีความผิดตาม ม.295 เท่านั้น

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 4955/2528 จำเลยใช้มีดโต้ฟันผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเด็กเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านของจำเลย ในเวลากลางคืน 1 ที ทำให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์ยาว 6 เซนติเมตร กะโหลกศีรษะใต้บาดแผลแตก เป็นแนวยาวไปตามบาดแผล 5เซนติเมตร แสดงว่า จำเลยฟันโดยแรง ขณะผู้เสียหายเพิ่งโผล่ออกมาจากใต้แคร่ ในสภาพที่ผู้เสียหายซ่อนตัวอยู่ในแคร่ ซึ่งอยู่ในเขตจำกัด จำเลยอาจจะใช้วิธีการอื่นที่จะสกัดกั้นไม่ให้ผู้เสียหายออกมา และเรียกร้องให้ผู้อื่นมาช่วยจับผู้เสียหายไว้ได้ ทั้งมีทางที่จะสังเกตได้ทันทีว่าผู้โผล่ออกมาเป็นใครจะเกิดภัยแก่จำเลยเพียง ใดหรือไม่ดังนี้  การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ / ผู้เสียหายถูกฟันกระโหลกศีรษะแตกเป็นแนวยาว 5 เซนติเมตร  แพทย์ลงความเห็นว่ารักษานานกว่า 21 วันหาย แต่ได้ความว่าผู้เสียหายรับการรักษาอยู่โรงพยาบาล 6-7 วัน แล้วถูกส่งตัวไปสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก 9 วัน จึงกลับบ้าน ไม่ปรากฏว่าหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วต้องไปรับการรักษาที่ใด หรือไม่แสดงว่ารักษาไม่เกิน 20 วัน จึงถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายถึงสาหัสตาม ป.อ. ม.297

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 602/2529 ผู้เสียหายถูกแทง 3 แห่ง บาดแผลที่ชายโครงลึกมากถูกกล้ามเนื้อ และเส้นเลือด เลือดออกมาก ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล 7-8 วัน ก็ไปรักษาตัวต่อที่บ้าน ระหว่างรักษาตัวไปทำนาตามปกติไม่ได้ ผู้เสียหายไปให้การในชั้นสอบสวนหลังเกิดเหตุ 25 วันว่า บาดแผลภายนอกหายแล้ว แต่ยังรู้สึกเจ็บข้างในแถวลิ้นปี่กับเอว  ดังนี้  ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสตาม ป.อ.ม.297

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 1295/2530 ผู้เสียหายถูกแทงด้วยมีดปลายแหลมที่ต้นแขนซ้ายเป็นบาดแผลขนาด 2.5 เซนติเมตร ทะลุไปอีกด้านหนึ่ง หลังเกิดเหตุประมาณ 7 วัน ผู้เสียหายไปหาแพทย์เพื่อตัดไหม แพทย์บอกว่าบาดแผลเป็นปกติ และผู้เสียหายก็ไปเรียนหนังสือ กับทำกิจการงานต่าง ๆ ได้ แม้ปรากฏว่าผู้เสียหายเป็นนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา ต้องเรียนภาคปฏิบัติ คือการเล่นกีฬาที่ต้องใช้แขน และหลังเกิดเหตุแล้ว 1 เดือน ผู้เสียหายไม่อาจเล่นกีฬาได้มากเท่าบุคคลปกติ เพราะยังรู้สึกเสียวที่แขน ก็เป็นเพียงแต่ทำให้ผู้เสียหายขาดความสะดวกในการใช้แขนลดน้อยลงเท่านั้น หาทำให้ผู้เสียหายประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เสียเลยทีเดียวไม่ จึงถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 297 (8)

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 3362/2530 ผู้เสียหายถูกแทงด้วยมีดปลายแหลมที่หน้าอกซ้าย หากปลายมีดเข้าไปถึงหัวใจ หรือหลอดลมใหญ่ และไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที ก็อาจถึงแก่ความตายได้ ผู้เสียหายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 8 วัน แล้วกลับมารักษาตัวที่บ้านอีก 1 เดือน แผลภายนอกหาย แต่ภายในยังเจ็บและเสียวอยู่ ผู้เสียหายต้องเลิกอาชีพรับจ้างไปทำงานอย่างอื่น เพราะไม่สามารถทำงานหนักต่อไปได้ ดังนี้ถือได้ว่าผู้เสียหายต้องเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน และประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน เป็นอันตรายสาหัสตาม มาตรา 297 แล้ว

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 4946/2531 จำเลยเป็นพี่ชายผู้เสียหาย คนทั้งสองทำงานอยู่ด้วยกันกับบิดา ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายกับจำเลยทะเลาะโต้เถียงด่าว่ากัน อันเป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรงถึงกับจะต้องเอาชีวิตกัน การที่จำเลยได้ใช้เหล็กขูดชาฟท์ยาวประมาณ 4 นิ้ว แทงผู้เสียหายที่ชายโครงขวา 1 ครั้ง แล้วหลบหนีไปโดยมิได้แทงซ้ำอีก ผู้เสียหายมีบาดแผลทะลุกะบังลมและตับ ต้องรักษาโดยการผ่าตัดและรักษาต่อตัวอีก 9 วัน จึงออกจากโรงพยาบาล บาดแผลต้องรักษาเป็นเวลา 4-6 อาทิตย์จึงจะหาย พฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย คงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสตาม มาตรา 297

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 2788/2532 จำเลยใช้ไม้ไผ่ตีที่ศีรษะและลำตัวของผู้เสียหายหลายครั้ง ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลถลอกที่ศีรษะด้านซ้าย  ขนาดประมาณ  2×3 เซนติเมตร และที่บริเวณหัวไหล่ข้างซ้ายบวมฟกช้ำ ไม่พบว่ามีกระดูกหัก แต่มีลักษณะของเส้นเอ็นบริเวณหัวไหล่ซ้ายขาด ทำให้กระดูก 2 ชิ้นแยกจากกัน ผู้เสียหายเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 7 วัน ไม่ปรากฏว่าต้องรักษาตัวต่อไปอีกหรือไม่ แพทย์ผู้ตรวจลงความเห็นว่าต้องใช้เวลารักษาเกินกว่า 25 วัน ถ้ามีภาวะแทรกซ้อน ก็เป็นเพียงการคาดคะเนเท่านั้น และแม้ผู้เสียหายจะเบิกความว่าในวันมาเบิกความยังเจ็บแขน และมึนศีรษะอยู่ก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา เกินกว่ายี่สิบวัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ตาม ป.อ. มาตรา 297 (8)

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 6345/2534 ผู้เสียหายถูกแทงมีบาดแผลที่ชายโครงซ้ายยาว3 เซนติเมตรเพียงแห่งเดียว แพทย์ลงความเห็นว่าถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนรักษาไม่เกิน 21 วันหายแม้ผู้เสียหายจะเบิกความว่า หลังเกิดเหตุไม่สามารถทำนาได้ตลอดระยะเวลา 6 เดือน แต่ก็ปรากฏว่าผู้เสียหายเพียงเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลรวมสองครั้งรวมแล้วไม่ เกิน 20 วัน ผู้เสียหายออกจากโรงพยาบาลครั้งสุดท้ายทางโรงพยาบาลมิได้จ่ายยาให้ไปรักษา ต่อที่บ้าน ไม่ปรากฏว่ามีอาการอย่างใดแทรกซ้อน จนผู้เสียหายต้องย้อนกลับเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอีก ทั้งบาดแผลดังกล่าว แพทย์ผู้ตรวจรักษาก็เบิกความว่าลึกไม่ถึงปอด ย่อมไม่น่าเชื่อว่าจะก่อเกิดอันตรายแก่สุขภาพและอนามัย เป็นอุปสรรคให้ผู้เสียหายประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้ ตามที่ผู้เสียหายเบิกความ จึงไม่พอที่จะรับฟังว่าการกระทำของจำเลย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 892/2537 ผู้เสียหายถูกทำร้ายมีบาดแผล เส้นเอ็นที่ยึดข้อปลายของนิ้วก้อยซ้ายขาด นิ้วก้อยซ้ายงอผิดรูป หลังเกิดเหตุแล้ว 2 เดือน  นิ้วก้อยซ้ายของผู้เสียหายยังไม่สามารถยึดออกได้ตามปกติ แต่โจทก์มิได้นำสืบว่าอาการป่วยเจ็บเช่นว่านั้นทำให้ผู้เสียหายได้รับความ ทุกขเวทนา หรือไม่สามารถประกอบกรณียกิจได้ตลอดระยะเวลาดังกล่าว  จึงฟังไม่ได้ว่าบาดแผลดังกล่าว เป็นเหตุให้ผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน อันจะเข้าลักษณะเป็นอันตรายสาหัส

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 69/2539 ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 6 ทำร้ายได้รับบาดเจ็บที่ดั้งจมูก แต่ผู้เสียหายมิได้รักษาโดยวิธีผ่าตัดตามความเห็นแพทย์คงเอายามากินที่บ้าน ตั้งแต่เกิดเหตุจนปัจจุบันเป็นเวลานานถึง 10 เดือนเศษ แสดงว่าผู้เสียหายสามารถไปทำงานหรือทำธุรกิจอื่นได้  แม้แพทย์ผู้ตรวจจะทำรายงานว่าต้องรักษาโดยวิธีผ่าตัดแล้วใช้เวลารักษาอย่าง น้อย  21  วัน จึงจะหายเป็นปกติก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของแพทย์ที่กะประมาณไว้ในขณะทำการ ตรวจ ซึ่งไม่แน่นอนว่าจะถูกต้องตามนั้นหรือไม่ บาดแผลอาจจะหายเร็วกว่ากำหนดไว้นั้นก็ได้ ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่พอฟังว่าบาดแผลของผู้เสียหายดังกล่าว เป็นเหตุให้ผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน อันจะเข้าลักษณะเป็นอันตรายสาหัส

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 575/2548 ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์มีความเห็นว่าบาดแผลของผู้เสียหาย ต้องใช้เวลารักษาเกินกว่า 21 วัน แต่ผู้เสียหายเบิกความเพียงว่า บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับจากการถูกทำร้ายต้องใช้เวลารักษา 21 วัน จึงหายเป็นปกติ โดยมิได้เบิกความให้เห็นว่าผู้เสียหายต้องเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาเกิน กว่า 20 วัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน อย่างไร ลำพังกระดูกโหนกแก้มขวาหักจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นอันตรายสาหัส ส่วนบาดแผลของผู้เสียหายที่ต้องใช้เวลารักษาเกิน 21 วัน เป็นเรื่องการรักษาบาดแผลให้หายเป็นปกติเท่านั้น ย่อมรับฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายถูกทำร้ายจนต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน อันจะถือว่าเป็นอันตรายสาหัส ตามความหมายของ ป.อ. มาตรา 297 (8) คงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุ ให้เกิดอันตรายแก่กาย ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 295 แม้ปัญหาข้อนี้จะยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพราะจำเลยมิได้ยกขึ้น อุทธรณ์ และฎีกาของจำเลยข้อนี้ต้องห้ามตามกฎหมายเพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมา แล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ แต่ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และ 225

 

–       คำพิพากษาฎีกาที่ 286/2490 โจทก์สืบว่าผู้ถูกทำร้ายทำงานไม่ได้เกินกว่า 20 วัน แต่ไม่ปรากฏว่า เป็นงานประกอบการหาเลี้ยงชีพตามปรกติหรืองานอะไรนั้น จะลงโทษฐานทำร้ายถึงสาหัส ตาม ม.256 (8) ไม่ได้.

–          ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า มาตรา 297

–       (ขส เน 2511/ 7) นางริษยาตั้งใจเอาน้ำกรดสาดหน้าให้นางจริตตาบอดเสียโฉม นางจริตหลบทัน น้ำกรดถูกหลังเป็นแผลไหม้เล็กน้อย รักษา 5 วันหาย นางริษยาผิดฐานใด / นางริษยา ผิดฐานทำร้ายร่างกาย ตาม ม 295 ไม่ผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายสาหัส ตาม ม 297 + 80 เพราะ ม 297 มุ่งถึงผลที่เกิดแล้ว หลักเรื่องพยายามตามลักษณะทั่วไป จึงไม่ต้องนำมาใช้กับกรณีนี้ ( ความรับผิดจากการพยายามกระทำผิด ไม่นำมาใช้กับ ผลของการกระทำที่ต้องทำให้รับโทษหนักขึ้น)

 

 

author avatar
PongrapatLawfirm
ทนายความ-คดีทำร้ายร่างกาย-ปรึกษากฎหมาย

ทนายความคดีทำร้ายร่างกาย

 ทนายความคดีทำร้ายร่างกาย ทำร้ายร่างกายสาหัส

หากลูกความมีปัญหา ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกทำร้าย โดยเจตนา ทางทนายความยินดีช่วยเหลือให้คำปรึกษากฎหมาย ฟ้องคดี กรณีถูกทำร้าย ทุบตี ใช้อาวุธ หรือ ฝ่ายจำเลยเพื่อทำคำให้การสู้คดีทำร้ายร่างกาย กรณีไม่ได้รับความเป็นธรรม

ยินดีช่วยเหลือเพื่อความยุติธรรม

โทรหาผม ทนายพัตร์

Tel : %e0%b9%80%e0%b8%9a%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b9%82%e0%b8%97%e0%b8%a3-%e0%b8%97%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b9%8c

 

ตัวอย่างการดำเนินแนวทางสู้คดีตามคำคำพิพากษาเบื้องต้นมีดังนี้

คำพิพากษาฎีกาที่ 176/2543 การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดฟันพลตำรวจ ก. ซึ่งแต่งกายเครื่องแบบตำรวจและออกตรวจท้องที่ ในขณะปฏิบัติหน้าที่สามีภริยาทะเลาะวิวาทกัน ไม่ว่าการใช้อาวุธมีดฟันทำร้ายร่างกายพลตำรวจ ก. ดังกล่าวจะมีมูลเหตุมาโดยประการใด หรือไม่เกี่ยวข้องกับการที่พลตำรวจ ก. กับพวกจับกุมจำเลยที่ 1 กับพวก ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำร้ายร่างกายพลตำรวจ ก. เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ เพราะการที่พลตำรวจ ก. กับพวกกำลังระงับเหตุทะเลาะวิวาทกันดังกล่าว ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตามหน้าที่ โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 ย่อมเป็นความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 296 (ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม มาตรา 140 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 138 วรรคสอง, มาตรา 83 จำคุกคนละ 6 เดือน และจำเลยที่ 1 มีความผิดตาม มาตรา 296,371 เป็นความผิดหลายกรรม ศาลอุทธรณ์แก้โทษ )

คำพิพากษาฎีกาที่ 2741/2550 การที่จำเลยใช้ไม้ตีแล้วกอดปล้ำผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและแต่ง เครื่องแบบตำรวจออกตรวจท้องที่ ในขณะปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในงานวัด ไม่ว่าการทำร้ายร่างกายดังกล่าวจะมีมูลเหตุมาโดยประการใด ก็เป็นกรณีที่ถือได้ว่าจำเลยได้ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานตำรวจผู้กระทำการ ตามหน้าที่เพราะการที่ผู้เสียหายกำลังปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ภายในงานวัดเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการ ตามหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา 296

author avatar
PongrapatLawfirm