ทนายสู้คดีลิขสิทธิ์ การจับแบบไหนถึงไม่ผิดคดีลิขสิทธิ์
เรื่องคดีลิขสิทธิ์ มีประเด็นการต่อสู้หลายแบบ ซึ่งบางท่า […]
อุบัติเหตุกับการจงใจทำให้เกิดเหตุย่อมแตกต่างกันอยู่ในตัว แต่บางครั้งพฤติกรรมที่เกิดขึ้นอาจล่อแหลมมากกว่าปกติเมื่อมีการข่มขู่เรียกร้องเงินทองจากเหตุที่เกิดขึ้นนั้น สำหรับเรื่องราวประเด็นปัญหาในตอนนี้จะเป็นปัญหาที่ว่าหากขับรถแกล้งให้คู่กรณีชนท้ายรถตนเองแล้วลงไปข่มขู่ให้จ่ายเงินเพื่อให้ยุติเรื่องจะเป็นความผิดอาญาฐานใดหรือไม่
ระหว่างที่นายแดงขับรถยนต์จากจังหวัดพิจิตรมุ่งหน้าไปพิษณุโลกก็มีรถยนต์ของนายดำขับแซงมาแล้วเปลี่ยนไปขับในช่องทางเดินรถทางซ้ายมือที่นายแดงกำลังขับอยู่ แต่ด้วยความที่รถยนต์คันที่นายดำขับอยู่ชะลอความเร็วลงเมื่อขับอยู่หน้ารถของนายแดง นายแดงจึงเร่งเครื่องไปขับในช่องทางเดินรถทางขวามือแทนเพื่อจะแซงหน้าไป ช่วงแรกนายดำเร่งเครื่องไม่ให้นายแดงแซง แต่เมื่อขับไปสักระยะนายแดงก็เร่งเครื่องจนแซงรถยนต์ของนายดำได้
นายดำเห็นนายแดงแซงแล้วขับอยู่หน้ารถตนก็รีบเร่งเครื่องแซงอีกครั้ง เมื่อเร่งจนแซงได้แล้วก็เปลี่ยนไปขับหน้ารถของนายแดงอีก คราวนี้เมื่อขับอยู่ด้านหน้า นายดำชะลอความเร็วรถอย่างเร็วจนทำให้รถของนายแดงไป “โดน” กันชนหลังของรถยนต์ที่นายดำขับอยู่ นายแดงรีบขับแซงไปอีกครั้ง แต่ไม่นานนายดำก็ขับรถไปตีคู่กับรถยนต์ของนายแดง โดยมีรถยนต์อีกคันที่มีนายขาวเพื่อนของนายดำขับไปปิดด้านหน้ารถยนต์ของนายแดงอยู่ด้วย
นายดำเปิดกระจกบอกให้นายแดงหยุดรถมาคุยกัน เพราะรถยนต์ของนายแดงชนถูกท้ายรถนายดำ นายแดงจึงยอมหยุดรถ โดยนายขาวก็หยุดรถลงมาหาด้วย ทั้งนายดำและนายขาวบอกให้นายแดงจ่ายเงินให้ 5,000 บาท นายแดงกลัวจะเกิดเหตุ แต่ไม่มีเงินพอจึงขอต่อรองจ่ายไป 3,000 บาท แทน
หลังเกิดเหตุนายแดงจึงรีบไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ จากการสอบสวนพบว่านายดำเคยมีพฤติกรรมทำนองนี้กับผู้เสียหายคนอื่นอีกหลายราย พนักงานอัยการฟ้องนายดำและนายขาวให้รับผิดในฐานกรรโชกทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์
กรณีทำนองนี้หากเป็นเรื่องของอุบัติเหตุที่หากมีการลงไปเจรจาต่อรองกันเรื่องค่าเสียหาย แม้จะมีการขู่ว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างใดก็ตามก็คงไม่มีปัญหาที่จะทำให้เกิดเป็นความผิดอาญาขึ้นมาได้ แต่ปัญหาของเรื่องนี้คือแม้แต่เหตุที่เกิดขึ้นในตอนแรกก็ไม่ได้เป็นเรื่องของความบังเอิญ แต่มีลักษณะของการวางแผนที่จะทำให้เกิดเหตุขึ้น
ปัญหาประการแรกคงเป็นเรื่องของความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ในกรณีลักษณะนี้ที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเหตุการณ์ที่ขับรถแซงกันไปจนกระทั่งเปลี่ยนความเร็วกระทันหันจนทำให้เกิดรถของนายแดงไป “โดน” รถของนายดำ แม้รถยนต์ของนายแดงจะโดนท้ายรถยนต์ของนายดำแต่รถยนต์ของนายแดงเองก็ได้รับความเสียหายด้วยเช่นกันแม้จะเป็นเพียงรอยเล็กน้อยก็ตามจากสภาพที่รถทั้งสองคันวิ่งไปในทิศทางเดียวกันจึงไม่เกิดแรงประทะมาก แต่ด้วยความที่เหตุดังกล่าวเป็นแผนการที่นายดำกับนายขาวมุ่งหวังจะให้เกิดขึ้น การที่รถยนต์ของนายแดงเสียหายจึงเกิดจากการกระทำโดยเจตนาของนายดำ นายดำจึงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
แต่ปัญหาที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นในคดีนี้คือ การที่นายดำกับนายขาวให้นายแดงหยุดรถแล้วลงไปพูดจากข่มขู่นายแดงนั้นจะเป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์หรือไม่ตามที่มีการฟ้องร้องขึ้นมา
ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สิน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่มีข้อเท็จจริงที่ระบุว่านายดำกับนายขาวขู่เข็ญว่าจะทำร้ายนายแดง การประทุษร้ายที่เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียวคือการทำให้รถยนต์เฉี่ยวชนกันซึ่งเป็นการทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่กรณีดังกล่าวยังไม่เป็นการประทุษร้ายต่อทรัพย์สินที่จะทำให้กลายเป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ไปได้ เพราะการประทุษร้ายนั้นเกิดขึ้นก่อนที่จะมีข่มขู่เรียกร้องเงินทองกัน
กรณีที่จะเป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์จะต้องมีการใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะประทุษร้ายในขณะที่ทำการอันเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ทรัพย์สินแก่ตน แต่เมื่อการประทุษร้ายกรณีนี้เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้ว นายดำและนายขาวจึงไม่มีความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ คงผิดเพียงฐานทำให้เสียทรัพย์เพียงข้อหาเดียว
การเรียกร้องเงินเรียกร้องทองกันเมื่อเกิดอุบัติเหตุเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สามารถทำได้ แต่หากมีการข่มขู่ที่จะประทุษร้ายกันไม่ว่าในทางใดๆ อาจกลายเป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ได้ แต่หากแม้จะแกล้งให้เกิดการเฉี่ยวชนแล้วมาเรียกร้องเงินทองกันก็ถือเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์แต่ยังไม่ถึงขนาดที่จะเข้าข่ายการกรรโชกทรัพย์ไป
(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 683/2562)
มีข้อสงสัยในเรื่องกฎหมาย หรือได้รับความไม่เป็นธรรมติดต่อผม
ติดตามความรู้ด้านกฎหมายได้ทางTIKTOK