ความผิดข้อหาหมิ่นประมาท

ความผิดข้อหาหมิ่นประมาท

ความผิดข้อหาหมิ่นประมาทเป็นความผิดอันยอมความได้ เมื่อผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดแล้ว แต่มิได้ร้องทุกข์และฟ้องคดีภายใน 3 เดือนคดีจึงขาดอายุความ ~ สู้กันมา 10 ปี 3 ศาลเลยครับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1086/2552

โจทก์รับราชการตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคสุโขทัย ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพศรีสำโรง สถานที่ทำการตามตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์คือ วิทยาลัยการอาชีพศรีสำโรงวิทยาลัยการอาชีพศรีสำโรงจึงเป็นภูมิลำเนาของโจทก์ ซึ่งเป็นข้าราชการตาม ป.พ.พ. มาตรา 46

ผู้อำนวยการกองการศึกษาอาชีพมีหนังสือถึงโจทก์ให้ชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมกับแนบหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของจำเลยที่ 2 อันมีข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ไปให้โจทก์ทราบด้วย หนังสือดังกล่าวได้ส่งถึงวิทยาลัยการอาชีพศรีสำโรงเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2542 โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้รับหนังสือไว้แทนโจทก์ และได้ทำบันทึกนำเสนอโจทก์พร้อมลงวันที่กำกับในวันเดียวกัน โจทก์ไม่นำสืบว่าวันนั้นโจทก์ยังไม่ได้รับหนังสือตามที่เจ้าหน้าที่เสนอ และไม่นำสืบว่าเหตุใดจึงเพิ่งเกษียณส่งหนังสือในวันที่ 2 มีนาคม 2542 แม้โจทก์ลงลายมือชื่อรับทราบและสั่งการให้ดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริงในวันที่ 2 มีนาคม 2542 ก็เป็นวิธีการดำเนินการตามระบบราชการเท่านั้น ถือได้ว่าโจทก์รับหนังสือดังกล่าวในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2542 และโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดในวันเดียวกัน คดีนี้เป็นความผิดอันยอมความได้ เมื่อโจทก์ไม่ได้ร้องทุกข์และฟ้องคดีนี้ภายใน 3 เดือน คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.อ. มาตรา 96

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 91

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุ โจทก์รับราชการตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคสุโขทัย ได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพศรีสำโรง และเป็นประธานกรรมการในการตรวจการจ้างเหมาก่อสร้างอาคารเรียนและปฏิบัติการวิทยาลัยการอาชีพศรีสำโรง สัญญาจ้างเลขที่ 20/2541 ระหว่าง วิทยาลัยเทคนิคสุโขทัยกับจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2541 และวันที่ 12 มกราคม 2542 จำเลยทั้งสองได้ทำหนังสือร้องเรียนโจทก์ถึงอธิบดีกรมอาชีวศึกษาผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ เขตตรวจราชการที่ 7 และผู้อำนวยการสำนักพัฒนาการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม โดยมีข้อความอย่างเดียวกันทุกประการว่า “ห้างฯ ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ของประธานกรรมการ ซึ่งเป็นข้าราชการมิได้ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐเลย กลั่นแกล้งและใช้อำนาจโดยมิชอบ ทำให้ผู้รับเหมาเกิดการเสียหาย ไม่สมควรที่จะรับหน้าที่นี้ต่อไป และโปรดพิจารณาให้ประธานกรรมการ พ้นออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ และให้ย้ายออกจากพื้นที่พร้อมรับโทษที่นายไชปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามแต่ท่านจะเห็นสมควร” ต่อมากรมอาชีวศึกษาได้สั่งการให้กองการศึกษาอาชีพตรวจสอบกรณีดังกล่าว ผู้อำนวยการกองการศึกษาอาชีพจึงมีหนังสือฉบับลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2542 ส่งหนังสือเรื่องร้องขอความเป็นธรรมไปให้โจทก์ในฐานะทำหน้าที่ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพศรีสำโรงชี้แจง วิทยาลัยการอาชีพศรีสำโรงได้รับหนังสือดังกล่าววันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2542 และวันที่ 27 เมษายน 2542 อธิบดีกรมอาชีวศึกษาได้สั่งย้ายโจทก์ไปปฏิบัติราชการประจำที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษา 1 หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมอาชีวศึกษา ตามคำสั่งกรมอาชีวศึกษา หลังจากนั้นวันที่ 19 พฤษภาคม 2542 กรมอาชีวศึกษามีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวตามคำสั่งกรมอาชีวศึกษา และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ข้อร้องเรียนของจำเลยทั้งสองดังกล่าวไม่มีมูลความจริง จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐและใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการใส่ความโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ทำให้โจทก์ถูกเข้าใจว่าปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังและส่งผลกระทบต่อหน้าที่ทางการงานอันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เพิ่งทราบว่าถูกจำเลยทั้งสองร้องเรียนตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรม เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2542 ตามหนังสือของผู้อำนวยการกองการศึกษาอาชีพมีถึงโจทก์เพื่อแจ้งให้โจทก์ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวและโจทก์ลงลายมือชื่อรับทราบในวันดังกล่าว จึงต้องถือว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดวันที่ 2 มีนาคม 2542 โจทก์ฟ้องวันที่ 28 พฤษภาคม 2542 ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่า โจทก์รับราชการตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคสุโขทัย ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพศรีสำโรง สถานที่ทำการตามตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์ คือ วิทยาลัยการอาชีพศรีสำโรง วิทยาลัยการอาชีพศรีสำโรงจึงเป็นภูมิลำเนาของโจทก์ ซึ่งเป็นข้าราชการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 46 และที่ผู้อำนวยการกองการศึกษาอาชีพมีหนังสือถึงโจทก์ให้ชี้แจงข้อเท็จจริงนั้น ผู้อำนวยการกองการศึกษาอาชีพได้แนบหนังสือร้องขอความเป็นธรรมให้แก่โจทก์มาพร้อมหนังสือดังกล่าวด้วย หนังสือดังกล่าวได้ส่งถึงวิทยาลัยการอาชีพศรีสำโรงเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2542 โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้รับหนังสือไว้แทนโจทก์และได้ทำบันทึกนำเสนอโจทก์พร้อมลงวันที่กำกับในวันเดียวกัน โจทก์ไม่นำสืบให้ได้ความชัดว่าในวันนั้นโจทก์ยังมิได้รับหนังสือดังกล่าวตามที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนำเสนอแต่อย่างใด และมิได้นำสืบว่าเป็นเพราะเหตุใดโจทก์จึงเพิ่งเกษียณสั่งหนังสือดังกล่าวในวันที่ 2 มีนาคม 2542 ทั้ง ๆ ที่เวลาผ่านไปถึง 7 วัน ดังนั้น แม้โจทก์จะลงลายมือชื่อรับทราบและสั่งการให้ดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริงในวันที่ 2 มีนาคม 2542 ก็เป็นเพียงวิธีการดำเนินการตามระบบราชการเท่านั้น จึงต้องถือว่าโจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าวในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2542 และโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดในวันเดียวกัน คดีนี้เป็นความผิดอันยอมความได้ โจทก์ไม่ได้ร้องทุกข์และฟ้องคดีนี้วันที่ 28 พฤษภาคม 2542 ซึ่งเกินกว่า 3 เดือนแล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

line PongrapatLawFirm
line PongrapatLawFirm
ทนายคดีหมิ่นประมาท ทนายคดีที่ดิน ทนายคดียาเสพติด ทนายคดีอาญา ทนายคดีแพ่ง ทนายคดีกู้ยืมเงิน ทนายคดีปลอมเอกสาร ทนายพัตร์ ทนายพงษ์รพัตร์
ทนายคดีหมิ่นประมาท ทนายคดีที่ดิน ทนายคดียาเสพติด ทนายคดีอาญา ทนายคดีแพ่ง ทนายคดีกู้ยืมเงิน ทนายคดีปลอมเอกสาร ทนายพัตร์ ทนายพงษ์รพัตร์
author avatar
ทนายความใกล้ฉัน