คดีหมิ่นประมาท คือ? หลักการฟ้อง อายุความ และโทษหมิ่นประมาท
การใส่ความกันบนโลกออนไลน์ การแขวน ดูถูก ดูหมิ่น การกล่า […]
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ ม.112 และหมิ่นประมาท..ว่าเป็นความผิดตาม พรบ. คอมพิวเตอร์..”
กฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์…
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550.. มาตรา 14 (1) บัญญัติ ห้ามโพสต์ข้อมูลปลอม หรือข้อมูลเท็จในระบบคอมพิวเตอร์..
นักเสรีนิยม จะเข้าใจว่า.. อินเตอร์เนต คือ ดินแดนเสรีที่จะทำให้บุคคลมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นได้อย่างอิสระ..
ในบางประเทศ จึงมีการแสดงความเห็นผ่านอินเตอร์เนตเป็นปกติ.. มีทั้งเรื่องจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง..
เป็นที่เข้าใจกันในกลุ่มผู้ใช้อินเตอร์เนตที่จะมีวินัยระมัดระวังรับผิดชอบการแสดงความเห็นของตน ..
และจะเข้าใจกันดีว่า..การโพสต์ข้อความที่ไม่จริง ที่เป็นการหยอก หรือแกล้งกันเล่นๆ..เมื่อไม่มีใครเสียหาย ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา..
ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย..
สำหรับไทย..เมื่อมี มาตรา 14 (1) ตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ออกมาซึ่งอาจจะมองว่า ขัดแย้งกับแนวคิดเสรีภาพในอินเตอร์เนตอย่างชัดเจน…
ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าที่มาของ มาตรานี้ มีวัตถุประสงค์อะไร..
ส่วนใหญ่ ก็ใช้วิธี อ่านและตีความถ้อยคำตามตัวหนังสือเอาตามความเข้าใจของตน..
แล้วทำไม จึงออกกฎหมายแบบนี้มา..ทั้งที่อาจจะขัดต่อแนวคิดเสรีภาพทางการแสดงความเห็น..
คำตอบเชิงวิชาการก็คือ..ตอนยกร่างกฎหมายคอมพิวเตอร์นั้น เราต้องการกฎหมายใหม่ที่สามารถดำเนินคดีกับคนร้ายที่ใช้เทคโนโลยี่ในการทำผิดรูปแบบใหม่..ที่ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา..
เช่น การยิงคำสั่งถล่มให้เวปไซต์ล่ม (DOS).. การเจาะระบบ (hacking).. การส่งข้อมูลที่ไม่ต้องการ (spam).. การดักรับข้อมูล (sniff).. และ การหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล (phishing) เป็นต้น
ก่อนมี พรบ.คอมพิวเตอร์.. การกระทำเหล่านั้น ไม่เป็นความผิด..
#ความผิดฐานหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล(ฟิชชิ่ง)…
โดยเฉพาะการหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล (phishing) ที่เรียกว่า “ฟิชชิ่ง” นั้น.. หมายถึง การทำหน้าเวปไซต์หรือส่งข้อความมาหลอกให้เหยื่อเชื่อ จนส่งข้อมูลส่วนบุคคลกลับไปให้คนร้าย..
..เช่น เลขบัตรประชาชน.. เลขบัญชีธนาคาร.. รหัสผ่านเฟสบุ๊ค. รูปส่วนตัว.. เป็นต้น..
“ฟิชชิ่ง” ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง เพราะไม่ได้หลอกเอาทรัพย์สิน.. ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร เพราะเอกสารต้องเป็นวัตถุ ต้องมีต้นฉบับ..จึงต้องร่างกฎหมายใหม่มาลงโทษคนทำฟิชชิ่ง..
พรบ. คอมพิวเตอร์.. ได้บัญญัติให้การกระทำต่างๆเหล่านั้น เช่น DoS, sniff, spam, hack เป็นความผิดทั้งหมด.. ในส่วนของความผิดฐานหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคลนั้น.. ตั้งใจจะยกร่างเป็น มาตรา 14 (1)..
#ปัญหาของถ้อยคำในมาตรา14(1)..
ปัญหาคือการใช้ถ้อยคำในตัวบทมาตรา 14 (1) ไม่ตรงกับการกระทำความผิดฐานฟิชชิ่ง..
เนื่องจาก เราไม่ได้เขียนกฎหมายว่า..
“ผู้ใดหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น โดยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จด้วยวิธีการทางอิเล็คทรอนิกส์..ทำให้ผู้อื่นนั้นหลงเชื่อและส่งมอบข้อมูลให้
ถ้าการกระทำนั้นอาจเป็นเหตุให้บุคคลใดได้รับความเสียหาย ผู้นั้นมีความผิด ต้องระวางโทษ…”
เพื่อลงโทษการทำฟิชชิ่ง..
.. แต่เราไปเขียนกฎหมายทำนองว่า..
“ผู้ใดนำข้อมูลปลอม ข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์..”
เป็นการยกร่างกฎหมายโดยใช้ถ้อยคำไม่ตรงกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น.. เป็นการเขียนถ้อยคำที่มีความหมายกว้างเกินไป.. และไม่กระชับรัดกุม..
เพราะคนทั่วไป ย่อมตีความว่า “ปลอม” หรือ “เท็จ” หมายถึง เรื่องที่ไม่เป็นความจริงทุกอย่าง..
แปลตามความเข้าใจทั่วไปได้ว่า การโพสต์ข้อเขียน.. ภาพถ่าย.. เสียง.. หรืออะไรก็ตาม.. ลงคอมพิวเตอร์….
ถ้าไม่เป็นความจริง.. ซึ่งอาจทำให้คนอื่นเสียหาย.. คนโพสต์และคนแชร์ต่อจะต้องถูกลงโทษตาม พรบ. คอมพิวเตอร์ทุกกรณี..
ถ้าตีความแบบนี้ และถ้าเราบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง.. คงจะวุ่นวายกันน่าดูนะครับ..
ตัวอย่างเช่น..
พอกฎหมายออกมาได้ไม่นาน.. มีลุงคนหนึ่งซึ่งลูกชายเขาได้เสียชีวิตไปนานแล้ว.. แต่ก่อนตาย ลูกชายเคยเตือนเขาว่า จะเกิดภัยพิบัติขึ้นในโลก.. คนจะตายมากมาย..เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ลูกชายเคยบอกว่าจะเกิดเหตุ.. ลุงเลยออกมาเตือนคนทั่วไป..
พอเป็นข่าว อาจจะมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ.. และก็ไม่ทำให้สังคมเดือดร้อนวุ่นวายอย่างได..
แต่คุณลุงถูกจับดำเนินคดีตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ฉบับนี้..
น่าสงสารคุณลุงนะครับ.. ไม่ได้มีเถยจิตเลย.. เพราะเขาเชื่อเช่นนั้นจริงๆ..เลยถูกลงโทษเพราะความหวังดีและเมตตาแท้ๆ..
ถ้าการโพสต์ความเชื่อทางศาสนา ..ไสยศาสตร์ ฯลฯ ที่พิสูจน์ให้เห็นจริงไม่ได้แบบนี้..แล้วต้องเป็นความผิด..
ผมว่า ..คนในประเทศเราคงถูกจับกันเกือบหมด..
ผลจากการใช้ถ้อยคำกฎหมายที่ไม่ถูกต้องดังกล่าว..ทำให้ทุกวันนี้ .. ปัญหาฟิชชิ่ง ยังไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดตรงๆแล้ว..
นอกจากนี้ เรายังเจอปัญหาการตีความกฎหมายที่ตรงตามตัวหนังสือตามความเข้าใจของตนเอง..
ทำให้มีการบังคับใช้มาตรา 14 (1) คลาดเคลื่อนไปจากวัตถุประสงค์..
จนก่อให้เกิดปัญหาทางวิชาการและทางปฎิบัติมากมาย..
ถึงขนาดทำให้หลายคนกล่าวอ้างได้ว่า .. รัฐบาลนำ พรบ.คอมพิวเตอร์มาใช้ เพื่อรังแกกลั่นแกล้ง ..เพื่อประโยชน์ทางการเมือง..
เช่น กล่าวหาว่าเขาทำผิดกฎหมายอาญา ฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 112 หรือ 326 และทำผิดพรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) ด้วย..
แล้วการหมิ่นประมาทตามมาตรา 112 และมาตรา 326 เป็นความผิดฐานโพสต์ข้อมูลปลอมหรือข้อมูลเท็จตามมาตรา 14 (1) จริงหรือไม่?…
คำตอบคือ.. ไม่จริงครับ!
#หมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา…
ความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามมาตรา 326 คือการใส่ความคนอื่น ให้อีกคนหนึ่งฟัง.. เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่อาจทำให้คนอื่นเสียชื่อเสียง ภาษาชาวบ้านเรียกว่า..
“ซุบซิบนินทา”..
วัตุประสงค์ และแนวคิดที่มาของ กฎหมายหมิ่นประมาท คือ.. ไม่ต้องการให้คนติฉินซุบซิบนินทากัน..
เพราะการนินทาเป็นต้นเหตุของการทะเลาะเบาะแว้งเกิดความไม่สงบสุขในสังคม..
เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้น เช่น ทำโดยสุจริต ชอบธรรม เพื่อป้องกันประโยชน์ของตน หรือประโยชน์แผ่นดิน..
เมื่อคนเราไม่มีสิทธิที่จะนินทากันแล้ว.. แม้สิ่งที่พูดหรือเขียน จะเป็นความจริง.. ก็ยังเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทอยู่นั่นเอง..
#หมิ่นประมาทตามพรบคอมพิวเตอร์มีได้มั้ย…
การโพสต์ข้อความหรือรูปภาพ ใส่ความ หมิ่นประมาทผู้อื่นให้เสียหาย.. ไม่เป็นความผิดตามพรบ. คอมพิวเตอร์..
เพราะกฎหมายนี้ เอาผิดเฉพาะคนที่ “ใช้โปรแกรมตัดต่อภาพ” ทำให้เขาเสียหายเท่านั้น..
ไม่เอาผิดคนที่ใส่ความคนอื่นด้วยการพูดหรือข้อเขียนจนเขาเสียหาย..
การหมิ่นประมาทผู้อื่น จึงเป็นความผิดตามมาตรา 326 ของประมวลกฎหมายอาญา.. แต่ไม่ผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์..
ส่วน มาตรา 112 นั้น..เป็นกฎหมายที่ออกมาคุ้มครองความเคารพที่ประชาชนมีต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการ..โดยบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาในหมวดว่าด้วย ความมั่นคงแห่งรัฐ..
เนื้อหาของ มาตรา 112 ก็คล้ายกับ หมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปตามมาตรา 326..
ผู้กระทำผิดมาตรา 112 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาเพียงฉบับเดียว.. ไม่ใช่ผิดประมวลกฎหมายอาญาและผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ด้วย..
ปัญหาอยู่ที่ มีคนจำนวนมาก “เชื่อ” เอาเองว่า.. คนที่หมิ่นประมาทเบื้องสูง (ม.112) และหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไป (ม.326).. จะต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) ด้วย.!!
เพราะเห็นว่า กฎหมายคอมพิวเตอร์ ใช้ถ้อยคำว่า ..
“ข้อมูลปลอมหรือข้อมูลเท็จ”..
และเชื่อแบบผิดๆว่า การหมิ่นประมาท จะเป็นความผิดต่อเมื่อมีการพูดหรือเขียนข้อความเท็จเท่านั้น..
ถ้าเป็นความจริง จะไม่ผิด..
นอกจากนี้ ยังมีหลักกฎหมายที่ว่า ความผิด “กรรมเดียวหลายบท”.. ซึ่งหมายถึง การกระทำผิดครั้งเดียว แต่มีกฎหมายหลายฉบับเขียนเอาผิดเหมือนกันนั้น..
เวลาจะตัดสิน..ต้องเอากฎหมายฉบับที่มีโทษสูงกว่าเพียงฉบับเดียวมาใช้ลงโทษ..
ในกรณีความผิดฐานหมิ่นประมาทคนธรรมดาตามมาตรา 326.. จึงต้องเอา พรบ.คอมพิวเตอร์มาใช้ลงโทษ เพราะมาตรา 14 (1) นั้น มีโทษสูงกว่า ..
ส่วนความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงตามมาตรา 112 นั้นมีโทษสูงกว่ามาตรา 14 (1) ใน พรบ.คอมพิวเตอร์.. จึงต้องลงโทษตามมาตรา 112 ตามประมวลกฎหมายอาญา..
ข้อเสียของการเอา พรบ.คอมพิวเตอร์มาใช้ในกรณีหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปก็คือ.. ทำให้ความผิดดังกล่าวยอมความไม่ได้ เพราะตามมาตรา 14 (1) พรบ. คอมพิวเตอร์.. เป็นความผิดที่ยอมความไม่ได้..
ตำรวจสามารถจับกุม สอบสวน ดำเนินคดีได้โดยไม่ต้องมีการร้องทุกข์..และคู่กรณีจะตกลงยอมความกันเองไม่ได้..
แต่ถ้าเราเอามาตรา 326 ประมวลกฎหมายอาญามาใช้ จะเป็นความผิดที่ยอมความได้…และต้องมีผู้เสียหายมาร้องทุกข์เท่านั้น ตำรวจจึงจะสอบสวนดำเนินคดีต่อไปได้..
#ฉ้อโกงทางอินเตอร์เนต…
ยังไม่พอ.. นักกฎหมายหลายคนเข้าใจผิด คิดว่า .. การฉ้อโกงหลอกลวงเอาทรัพย์สินเงินทอง..โดยใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องมือในการทำผิด เช่น โทรหรือส่งข้อความมาหลอกให้โอนเงินนั้น..
ผู้กระทำ ต้องมีความผิดตาม พรบ. คอมพิวเตอร์ด้วย..เพราะฉ้อโกงเป็นการหลอกลวง.. และการหลอกลวงก็เป็นเรื่องข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จตามมาตรา 14 (1)..
ซึ่งเป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง.. เพราะการฉ้อโกงผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามปกติที่บัญญัติไว้ในมาตรา 341 ประมวลกฎหมายอาญาเท่านั้น..
ไม่เป็นความผิดตาม พรบ. คอมพิวเตอร์..
สรุปว่า มีหลายคนเข้าใจผิดมากมาย.. เพราะไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการยกร่างมาตรา 14 (1) ของ พรบ.คอมพิวเตอร์.. ทำให้ “เชื่อ” ว่า.. การกระทำดังต่อไปนี้ เป็นความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์..