ปรึกษาทนาย-คดีทำให้เสียทรัพย์-ทนายความ

ปรึกษาทนายคดีทำให้เสียทรัพย์

ปรึกษาทนายคดีทำให้เสียทรัพย์คดีลักทรัพย์

– ฎีกา 682/42 (ประชุมใหญ่)ออกสอบเนฯแล้วครับ วินิจฉัยเปรียบเทียบความเเตกต่างไว้ดังนี้

– การกระทำที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ จะต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยพลการโดยทุจริต มิใช่ได้ทรัพย์ไปเพราะผู้อื่นยินยอมมอบให้เนื่องจากถูกหลอกลวง

– การที่จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายเปลี่ยนเอาป้ายราคาโคมไฟตั้งโต๊ะของกลางซึ่งติดราคา 1,785 บาท ออก แล้วนำป้ายราคาโคมไฟอื่นซึ่งติดราคา 134 บาท มาติดแทนแล้วมอบให้พวกของจำเลยนำไปชำระราคาแก่พนักงานเก็บเงินของผู้เสียหายมิใช่จำเลยเอาโคมไฟตั้งโต๊ะของกลางไปโดยพลการโดยทุจริตจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์หากแต่เป็นการหลอกลวงพนักงานเก็บเงินของผู้เสียหายโดยทุจริตโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า ราคาโคมไฟตั้งโต๊ะของกลางมีราคา 134 บาทพนักงานเก็บเงินของผู้เสียหายหลงเชื่อยินยอมมอบโคมไฟตั้งโต๊ะของกลางให้จำเลยโดยรับเงินจากจำเลยไว้เพียง 134 บาทการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จอยู่ในตัวและจำเลยกระทำโดยมีเจตนาหลอกลวงพนักงานเก็บเงินของผู้เสียหายให้ยินยอมมอบโคมไฟตั้งโต๊ะของกลางให้จำเลยแล้วจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง หาใช่จำเลยไม่มีเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จไม่

– สรุปตามฎีกานี้ถ้าเป็นการได้ทรัพย์ไปเพราะผู้อื่นยินยอมมอบให้เนื่องจากถูกหลอกลวงไม่ผิดลักทรัพย์แต่ผิดฉ้อโกง

– ผมเห็นด้วยหลักเกณฑ์ตามแนวฎีกานี้ครับ เพราะ 1. ความผิดฐานลักทรัพย์ต้องเป็นการทำร้ายการครองครอง และ 2. เป็นการทำร้ายกรรมสิทธิ์โดยการเอาทรัพย์ไปลักษณะตัดกรรมสิทธิ์

– ดังนั้นถ้าเป็นการหลอกลวงให้ผู้อื่นยินยอมมอบทรัพย์ให้ตนตนเองก็เป็นผู้มีการครอบครองทรัพย์นั้น (ไม่ใช่เพียงยึดถือแทน)แล้วผู้ครอบครองทรัพย์ เอาทรัพย์ไปจะผิดลักทรัพย์ได้อย่างไรครับ

– ผู้กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ต้องไม่ใช่ผู้ซึ่งครอบครองทรัพย์นั้นดังเช่นกรณีเจ้าของรวมครอบครองกรรมสิทธิ์รวมแล้วเอาทรัพย์ไป ย่อมไม่ผิดลักทรัพย์เพราะการครองครองอยู่กับตนเองในขณะที่เอาทรัพย์ไป แต่ผิดยักยอกแต่ถ้าเจ้าของรวมผู้นั้นมิได้ครอบครองกรรมสิทธิ์รวมแล้วเอาทรัพย์นั้นไปลักษณะตัดกรรมสิทธิ์ เช่นนี้ผิดลักทรัพย์ ตามฎีกาที่554/2509 จำเลยกับสิบตำรวจโทสำเนียงและสิบตำรวจเอกเหมกลับจากงานบวชนาคด้วยกันเมื่อไปถึงทุ่งนาสิบตำรวจโทสำเนียงบอกว่าจะไปถ่ายเพราะปวดท้องจึงมอบปืนไว้กับสิบตำรวจเอกเหมแล้วสิบตำรวจโทสำเนียงก็เดินไปโดยจำเลยเดินตามไปด้วยสิบตำรวจเอกเหมไปคุยอยู่กับพรรคพวกจำเลยได้กลับมาหาสิบตำรวจเอกเหมและเอาความเท็จบอกว่าสิบตำรวจโทสำเนียงให้มาเอาปืนจะไปธุระสิบตำรวจเอกเหมเห็นว่าจำเลยกับสิบตำรวจโทสำเนียงเจ้าของปืนเป็นเพื่อนกันจึงหลงเชื่อตามคำหลอกลวงของจำเลยและมอบปืนให้จำเลยไป ดังนี้การกระทำของจำเลยจึงอยู่ในลักษณะที่เห็นได้ว่าจำเลยหลอกลวงให้สิบตำรวจเอกเหมหลงเชื่อจนได้ปืนไปจากสิบตำรวจเอกเหมผู้ถูกหลอกลวงฉะนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341

– คำพิพากษาฎีกาที่ 1004/2499 หัวผักกาดที่เจ้าทรัพย์มอบให้บุคคลอื่นครอบครองบุคคลอื่นยินยอมให้จำเลยเอาไปได้โดยดีเพราะหลงเชื่อในถ้อยคำของจำเลยที่อ้างว่าเจ้าของให้มาเอาไปขายและหลงเชื่อในอาการที่จำเลยเป็นคนมาติดต่อขอซื้อและจำเลยเป็นคนพูดจาฝากหัวผักกาดเหล่านั้นไว้โดยผู้ครอบครองมิได้รู้ถึงความจริงว่าหัวผักกาดเหล่านั้นเป็นของผู้ใดกันแน่กรณีเช่นนี้จะเป็นความผิดอาญาก็เป็นเรื่องฉ้อโกง หาใช่ฐานลักทรัพย์ไม่ /ฟ้องว่าลักทรัพย์พิจารณาได้ความว่ากระทำผิดฐานฉ้อโกงต้องยกฟ้องตาม ป.วิ.อาญาม.192

– คำพิพากษาฎีกาที่ 848/2507 การที่จำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายและภริยานั้นมิใช่เพื่อให้ผู้เสียหายและภริยายอมส่งมอบโคให้จำเลย หากเป็นแต่เพียงอุบายในการที่จำเลยจะพาโคไปได้แนบเนียนขึ้นเท่านั้น การที่จำเลยเอาโคไปหาใช่ผลโดยตรงจากการหลอกลวงไม่ จำเลยจึงมีผิดฐานลักทรัพย์หาผิดฐานฉ้อโกงไม่

– คำพิพากษาฎีกาที่ 2581/2529 จำเลยทั้งสองขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนกันเข้าไปเติมน้ำมันที่บ้านผู้เสียหายเสร็จแล้วภริยาผู้เสียหายขอเงินค่าน้ำมันจำเลยที่ 2 กลับตอบว่าไม่มีเงิน มีแต่ไอ้นี่เอาไหม ขณะพูดจำเลยที่ 2 ถือลูกกลม ๆซึ่งภริยาผู้เสียหายเข้าใจว่าเป็นลูกระเบิดแล้วจำเลยทั้งสองก็ขี่รถจักรยานยนต์ออกไปเมื่อลูกกลม ๆ ที่จำเลยที่ 2 ถือ ฟังไม่ได้ว่าเป็นลูกระเบิดหรือไม่ การที่จำเลยที่ 2 บอกภริยาผู้เสียหายเมื่อถูกทวงให้ชำระราคาน้ำมันจึงเป็นการที่จะใช้แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ดังนี้จำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้เสียหาย เพียงเพื่อจะเติมน้ำมันรถจักรยานยนต์โดยไม่ชำระราคาเท่านั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานฉ้อโกงหาใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ (ท่านศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์กล่าวในวรรคท้ายของบันทึกท้าย ฎ.2581/2529 มีความตอนหนึ่งว่า “ลักทรัพย์เป็นการเอาทรัพย์ไปโดยเจ้าของไม่ยินยอมความยินยอมนั้นถือว่าไม่มีหากเกิดขึ้นโดยการขู่ หลอกลวงหรือสำคัญผิดหลักนี้ถึงกับบัญญัติในประมวลกฎหมายอินเดีย ที่อังกฤษทำให้และใช้อยู่จนทุกวันนี้ฉะนั้นการขู่เอาทรัพย์ไป เจ้าของส่งให้ จึงเป็นชิงทรัพย์หลอกเอาทรัพย์ไปได้เป็นฉ้อโกง ได้ทรัพย์ที่ส่งให้โดยสำคัญผิดเป็นกึ่งยักยอกตามม.352 วรรคสอง เมื่อการฉ้อโกงตาม ม.341 เป็นการได้ทรัพย์ไปโดยการหลอกลวงเอากรรมสิทธิ์ จึงไม่เป็นลักทรัพย์ เพราะกม.บัญญัติโดยเฉพาะแยกออกไปจากลักทรัพย์ จะเป็นลักทรัพย์อยู่อีกไม่ได้แต่การหลอกเอาการครอบครองไม่เป็นฉ้อโกง จึงยังคงเป็นลักทรัพย์อยู่ตามเดิมเพราะไม่ถือเป็นการได้ทรัพย์ไป โดยเจ้าทรัพย์ยินยอม โดยหลอกให้เขาส่งการครอบครองมาแต่ไม่ถึงกับฉ้อโกง เพราะไม่ใช่ได้ไปอย่างหลอกเอากรรมสิทธิ์ยังคงเป็นลักทรัพย์ที่เรียกว่าลักทรัพย์โดยใช้กลอุบายเหตุผลเหล่านี้คงช่วยให้เข้าใจการลักทรัพย์โดยกลอุบายและความแตกต่างระหว่างหลอกในลักทรัพย์ และในฉ้อโกงได้บ้าง”) / (คำพิพากษาฎีกาที่ 2581/2529 มีข้อเท็จจริงคล้ายกัน และควรเปรียบเทียบกับคำพิพากษาฎีกาที่ 611/2530 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังยุติว่าในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องจำเลยได้ไปเติมน้ำมันใส่ถังในรถยนต์ ซึ่งจำเลยขับจากปั๊มของผู้เสียหายโดยจำเลยมิได้ชำระเงินค่าน้ำมัน 256 บาท แก่ผู้เสียหายจริงปัญหามีว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่พยานโจทก์ที่รู้เห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดโดยตลอด คือนายทวีหนูขาว คนเติมน้ำมันให้จำเลยนายทวีเบิกความว่าจำเลยสั่งให้เติมน้ำมัน 300 บาท แต่เมื่อเติมไปได้เป็นเงิน 256 บาท ปรากฏว่าน้ำมันจะเต็มถัง พยานจึงชะลอการไหลของน้ำมันลงขณะนั้นพยานยังถือหัวเติมน้ำมัน อยู่ที่ปากท่อของถังน้ำมัน จำเลยได้พูดว่าไม่มีเงิน เดี๋ยวจะเอามาให้ พยานจึงบอกว่าต้องไปบอกผู้เสียหายก่อนแต่จำเลยได้ขับรถออกไปทันที ขณะเติมน้ำมัน จำเลยไม่ได้ดับเครื่องยนต์รถและฝาปิดถังน้ำมันไม่มี โดยใช้ผ้าอุดไว้แทน เห็นว่าพฤติการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้วางแผนการไว้ เพื่อจะไม่ชำระเงินค่าน้ำมันเมื่อได้น้ำมันมาแล้ว โดยจะรีบหนีไปอันเป็นอุบายอย่างหนึ่งในการที่จะทำให้ลักทรัพย์สำเร็จส่วนที่นายทวีเบิกความว่าระหว่างเติมน้ำมันเห็นจำเลยทำท่าค้นหาของในกระเป๋ากางเกงและกระเป๋าเสื้อก็อาจเป็นอุบายประกอบที่จำเลยจะหลอกนายทวีว่าหาเงินไม่พบเพื่อจะยังไม่ต้องชำระค่าน้ำมันหากจำเลยประสงค์จะเข้าไปซื้อน้ำมันโดยสุจริตใจและทำเงินหายไปจริงจำเลยก็น่าจะได้พูดจากับผู้เสียหายให้รู้เรื่องเป็นหลักเป็นฐาน แต่ตรงกันข้ามทั้ง ๆที่นายทวีบอกว่าต้องไปบอกผู้เสียหายก่อน จำเลยกลับขับรถออกไปโดยเร็วจนกระทั่งนายทวีตกตะลึง นายสมชายคนงานผู้เสียหายอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ใกล้ ๆ กันนั้นเบิกความว่านายทวีได้ร้องว่ารถเติมน้ำมันแล้วหนี เช่นนี้ มิใช่ลักษณะอาการของผู้ที่สุจริตเมื่อจำเลยถูกจับแล้ว ผู้เสียหายไปดูที่รถจำเลยปรากฏว่าฝาปิดถังน้ำมันอยู่ในกระบะรถนั่นเองและจำเลยพูดขอร้องมิให้ผู้เสียหายเอาความผิด จะชดใช้ค่าเสียหายให้แสดงให้เห็นว่าจำเลยได้เตรียมการไว้พร้อมแม้กระทั่งเปิดฝาถังน้ำมันไว้เพื่อจะให้หนีไปได้โดยเร็ว เมื่อได้น้ำมันแล้วไม่ต้องพะวงเรื่องฝาถังน้ำมัน ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าตนไม่มีเจตนาทุจริตนั้นมีเพียงคำจำเลยเพียงปากเดียวเบิกความลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์ต่าง ๆที่เกิดขึ้นดังวินิจฉัยมาแล้วเห็นว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่ต้นที่จะลักเอาน้ำมันของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง)

– คำพิพากษาฎีกาที่ 3624/2530 จำเลยขายสร้อยให้ผู้เสียหาย 4 เส้นในราคา 100 บาทเศษแต่จำเลยกลับหยิบธนบัตรฉบับละ 500 บาทจำนวน 1 ฉบับจากในกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหายไป โดยพลการในทันทีที่ผู้เสียหายเปิดกระเป๋าสตางค์ซึ่งผู้เสียหายยังมิทันได้หยิบธนบัตรดังกล่าวส่งให้จำเลยแล้วจำเลยก็หลบหนีไปเช่นนี้ การกระทำของจำเลย มิใช่เป็นการผิดสัญญาในทางแพ่งหรือเข้าใจผิด เพราะสื่อความหมายกันไม่รู้เรื่องแต่อย่างไรการกระทำของจำเลยเข้าลักษณะลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าจำเลยจึงมีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์

– คำพิพากษาฎีกาที่ 3162/2536 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของธนาคาร จำเลยที่ 2 เดิมเป็นลูกค้าของโจทก์ร่วมเปิดบัญชีสะสมทรัพย์ ได้โอนบัญชีเงินฝากดังกล่าวซึ่งมีเงินต้น 12,015.66 บาท และดอกเบี้ย 39.82 บาท ไปฝากต่อที่สาขาพะเยา จำเลยที่ 1 ได้อนุมัติให้จำเลยที่ 2 เปิดบัญชีได้ และจำเลยที่ 1 ได้บันทึกรายการลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ระบุว่าจำเลยที่ 2 มีเงินฝากเงินต้น 12,015.66 บาท และดอกเบี้ย 398,200 บาท มากกว่าความเป็นจริง ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ถอนเงินจากบัญชีจำนวน 200,000 บาท และต่อมาถอนอีก 202,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่ออนุมัติ จำเลยทั้งสองหลอกลวงให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อ ว่าจำเลยที่ 2 มีเงินฝากในบัญชีคือดอกเบี้ย มากกว่าความเป็นจริงมิใช่เป็นการหลอกลวงให้โจทก์ร่วมส่งมอบเงินให้แก่จำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง แต่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์

– คำพิพากษาฎีกาที่ 5344/2540 (สบฎ สต 286) ((คดีประกันภัย) ผู้เช่าไม่มีเจตนาเช่ารถแต่เข้าทำสัญญาเช่า เพื่อเอาทรัพย์ เป็นการลักโดยใช้กลอุบาย)กรมธรรม์ประกันภัยยกเว้น ไม่ใช้ค่าเสียหายกรณีสูญหายอันเกิดจากการลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์โดยบุคคลที่ครอบครองรถยนต์ตามสัญญา การที่ ท. และ ข.ลักรถยนต์โดยใช้กลอุบายทำสัญญาเช่าเช่นนี้จึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่จำเลยไม่ต้องรับผิด

– คำพิพากษาฎีกาที่ 6892/2542 (สบฎ สต 96) การกระทำที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยพลการ โดยทุจริต มิใช่ได้ทรัพย์ไปเพราะผู้อื่นยินยอมมอบให้เนื่องจากลูกหลอกลวง (เปลี่ยนป้ายราคาสินค้าเพื่อชำระค่าสินค้าน้อยลง)

– คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7297/2547 จำเลยบอกขายถังน้ำมันของกลางซึ่งวางอยู่ในที่ดินของผู้อื่นให้แก่ผู้ซื้อโดยแจ้งแก่ผู้ซื้อว่าถังน้ำมันของกลางเป็นของจำเลย แต่ความจริงเป็นของผู้เสียหายผู้ซื้อตกลงซื้อถังน้ำมันของกลางแล้วได้ว่าจ้าง ส.ให้ขนถังน้ำมันของกลางไปไว้ที่สถานีบริการน้ำมันของผู้ซื้อหลังจากนั้นผู้ซื้อจึงชำระราคาให้แก่จำเลย โดยผู้เสียหายมิได้ยินยอมด้วยแต่อย่างใดการกระทำของจำเลยเป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นโดยทุจริตแล้วจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ (จำเลยผิดลักทรัพย์ต่อเจ้าของทรัพย์และผิดฉ้อโกงต่อผู้ซื้อทรัพย์)

– ประเด็นเปรียบเทียบ ความผิดลักทรัพย์โดยใช้อุบาย กับฉ้อโกง

– ความผิดข้อหาลักทรัพย์โดยใช้อุบาย เป็นการหลอกให้ส่งมอบ การยึดถือให้แก่ผู้กระทำผิด

– ความผิดข้อหาฉ้อโกง เป็นการหลอกให้ส่งมอบ การครอบครอง หรือกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้กระทำผิด

– คำพิพากษาฎีกาที่ 1463/2503 จำเลยตั้งใจจะลักรถจักรยานจึงวางวิธีการทำอุบายลอบหยิบบัตรคู่หนึ่งของเจ้าของร้าน แล้วเอาบัตรนั้นใบหนึ่งไปแขวนไว้ที่รถจักรยานโดยเอาบัตรเลขอื่นที่แขวนอยู่เดิมออกเสียแล้วต่อมาก็เอาบัตรคู่กันอีกใบหนึ่งมาขอรับรถจักรยาน เขาไม่ยอมให้จำเลยกล่าวเท็จว่า เพื่อนให้เอาบัตรมารับรถเพราะเปลี่ยนกันขี่ผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย ไม่ใช่ฉ้อโกง (เจ้าของรถจักรยานยังอยู่ในบริเวณงานนั้น เพียงแต่มอบการยึดถือดูแลทรัพย์ให้แก่เจ้าของร้านจำเลยหลอกเจ้าของร้าน ได้แต่เพียงการยึดถือไม่ใช่ได้สิทธิครอบครองไปจากเจ้าของร้านผู้ดูแลทรัพย์จึงเป็นลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย ไม่ใช่ฉ้อโกง)

– คำพิพากษาฎีกาที่ 848/2507 จำเลยได้เสียกับบุตรสาวของผู้เสียหาย จำเลยจึงนำโคไปอ้างว่าจะนำไปให้กินน้ำ แล้วก็นำโคไปขายเสียการที่จำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายและภริยานั้นมิใช่เพื่อให้ผู้เสียหายและภริยายอมส่งมอบโคให้จำเลยหากเป็นแต่เพียงอุบายในการพาโคไปได้แนบเนียนขึ้นเท่านั้น หาใช่ผลโดยตรงจากการหลอกลวงไม่ จำเลยจึงมีผิดฐานลักทรัพย์ หาผิดฐานฉ้อโกงไม่

– คำพิพากษาฎีกาที่ 554/2509 จำเลยกับสิบตำรวจโทสำเนียง และสิบตำรวจเอกเหมกลับจากงานบวช ถึงทุ่งนา สิบตำรวจโทสำเนียงบอกว่าจะไปถ่ายจึงมอบปืนไว้กับสิบตำรวจเอกเหม แล้วสิบตำรวจโทสำเนียงก็เดินไปโดยจำเลยเดินตามไปด้วย สิบตำรวจเอกเหมไปคุยอยู่กับพรรคพวกจำเลยได้กลับมาหาสิบตำรวจเอกเหมและเอาความเท็จบอกว่าสิบตำรวจโทสำเนียงให้มาเอาปืนจะไปธุระ สิบตำรวจเอกเหม เห็นว่าจำเลยกับเจ้าของปืนเป็นเพื่อนกัน จึงหลงเชื่อและมอบปืนให้จำเลยไป ผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 (สิบตำรวจโทสำเนียงเจ้าของปืน มอบการครอบครองดูแลให้แก่สิบตำรวจเอกเหมไม่ใช่เพียงแต่มอบการยึดถือดูแลทรัพย์ จำเลยหลอกสิบตำรวจเอกเหมเป็นการหลอกให้ได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองจากสิบตำรวจเอกเหม ไม่ใช่ได้แต่เพียงการยึดถือจึงเป็นฉ้อโกง)

– คำพิพากษาฎีกาที่ 321/2510 (สบฎ เน 1531) เรียกเอาเงินและทองมาใส่ย่ามของตนเพื่อทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ แอบล้วงเอาไปผิด ลักทรัพย์ มาตรา 334 เพราะเจ้าของไม่ได้สละการครอบครองให้จำเลยเขาเพียงแต่ให้ยึดถือไว้ชั่วคราว

– คำพิพากษาฎีกาที่ ป 2600/2516 จำเลยลูกจ้างของ ส. ได้หลอกลวง ป. ให้ หลงเชื่อว่าทางอู่ของ ส. ให้จำเลยมาขอรับเงิน 5,000 บาท เพื่อไป ซื้อเครื่องอะไหล่ในการซ่อมรถป. จึงมอบเงินให้จำเลยไป ดังนี้การกระทำ ของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกง

– คำพิพากษาฎีกาที่ 226-7/2521 (สบฎ เน 5632) จำเลยปลอมลายมือชื่อผู้อื่นเบิกเงินจากธนาคาร เปลี่ยนเงินเป็น แคชเชียร์เช็คแล้วปลอมลายมือชื่อสลักหลังเช็คเข้าบัญชีของจำเลย เป็นฉ้อโกงไม่ใช่ลักทรัพย์

– คำพิพากษาฎีกาที่ 3150/2522 ใช้อุบายเอาทรัพย์ของเขาไป โดยเขาไม่รู้ตัวขณะเขายังครอบครองยึดถือธนบัตรนั้นอยู่ โดยเขาไม่ได้ส่งมอบให้เป็นลักทรัพย์

– คำพิพากษาฎีกาที่ 2581/2529 จำเลยทั้งสองขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนกันเข้าไปเติมน้ำมันที่บ้านผู้เสียหายเสร็จแล้วภริยาผู้เสียหายขอเงินค่าน้ำมันจำเลยที่ 2 กลับตอบว่าไม่มีเงิน มีแต่ไอ้นี่เอาไหมขณะพูดจำเลยที่ 2 ถือลูกกลม ๆ ซึ่งภริยาผู้เสียหายเข้าใจว่าเป็นลูกระเบิดแล้วจำเลยทั้งสองก็ขี่รถจักรยานยนต์ออกไป เมื่อลูกกลม ๆ ที่จำเลยที่ 2 ถือฟังไม่ได้ว่าเป็นลูกระเบิดหรือไม่ การที่จำเลยที่ 2 บอกภริยาผู้เสียหายเมื่อถูกทวงให้ชำระราคาน้ำมันจึงเป็นการที่จะใช้แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ดังนี้จำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้เสียหาย เพียงเพื่อจะเติมน้ำมันรถจักรยานยนต์โดยไม่ชำระราคาเท่านั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานฉ้อโกงหาใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ / โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. ม.334, 335, 339, 340, 340 ตรี ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกง ศาลลงโทษตาม ม.341 ได้

– คำพิพากษาฎีกาที่ 26172529 จำเลยเป็นพนักงานลักสมุดเช็คกรอกข้อความลงในบัญชีจ่ายเช็คว่าจ่ายให้ ม. ลูกค้าของโจทก์ร่วมและมอบเช็คให้บุคคลอื่นไปกรอกวันเดือนปีจำนวนเงิน ปลอมลายมือชื่อ ม. ผู้สั่งจ่ายแล้วนำไปขึ้นเงิน ผิดตามมาตรา 335 (11) 2 กระทงและเป็นตัวการร่วมกับผู้อื่นใช้ตั๋วเงินปลอมและฉ้อโกงโจทก์ร่วม สำหรับเช็คแต่ละฉบับม 268 ว 1 + ม 264, 266 (4), และ ม 341

– คำพิพากษาฎีกาที่ 611/2530 (สบฎ เน 104) จำเลยขับรถเข้าไปเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันของผู้เสียหายเมื่อเติมน้ำมันเกือบจะเต็มถัง จำเลยพูดว่าไม่มีเงินเดี๋ยวจะเอามาให้ แล้วจำเลยได้ขับรถออกไปทันที เป็นการวางแผนการไว้ เพื่อจะไม่ชำระเงินอันเป็นอุบายในการที่จะทำให้ลักทรัพย์สำเร็จ และจำเลยมีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่ต้นผิดฐานลักทรัพย์

– คำพิพากษาฎีกาที่ 191/2532 (สบฎ เน 97) จำเลยขออนุญาตเอาพระพุทธรูปบูชาของผู้เสียหาย ลงไปดูกลาแสงแดดที่พื้นดินหน้าบ้านแล้วอุ้มพระพุทธรูปวิ่งหนีไป ขึ้นรถยนต์ปิกอัพซึ่งพวกของจำเลยจอดรออยู่โดยมีการวางแผนเตรียมการมาก่อน ไม่เป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เพราะไม่ได้ฉกฉวยเอาซึ่งหน้า คงเป็นความผิดตาม มาตรา 335 (7) วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 336 ทวิ

– คำพิพากษาฎีกาที่ 1567/2535 จำเลยเป็นพนักงานของธนาคาร ก. ลักเอาบัตรเงินสดทันใจเอ.ที.เอ็ม ของธนาคาร ก. นายจ้าง แล้วนำไปเข้าเครื่องจ่ายเงินอัตโนมัติของธนาคาร ก.กดเบิกเงินไปจำนวน 5,000 บาท แม้จำเลยจะมีความประสงค์เพื่อเอาบัตรเงินสดทันใจเอ.ที.เอ็ม. ที่ลักมาไปกดเบิกเงินจากเครื่องจ่ายเงินอัตโนมัติแต่ทรัพย์ที่จำเลยลักไปจากธนาคาร ก. นายจ้างเป็นคนละประเภทกันการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จในตัวต่างกรรมต่างวาระกัน แยกกระทงลงโทษจำเลยได้การกระทำผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

– คำพิพากษาฎีกาที่ 671/2539 จำเลยอาสานำบัตรบริการเงินด่วนของผู้เสียหายไปตรวจสอบยอดเงินในบัญชีเงินฝาก แต่กลับนำบัตรไปเบิกถอนเงินจากตู้ เอ.ที.เอ็ม.ของธนาคารไป ถือว่าจำเลยหลอกเอาบัตรบริการเงินด่วนของผู้เสียหายไปเพื่อเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากในธนาคารของผู้เสียหายจากตู้ เอ.ที.เอ็ม. ของธนาคารเงินที่เบิกถอนนั้นเป็นของผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงเงินของผู้เสียหายแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานลักทรัพย์ศาลก็ลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงได้ตามป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม

– คำพิพากษาฎีกาที่ 613/2540 (จำเลยปลอมลายมือชื่อของเจ้าของบัญชีเงินฝากในคำขอใช้บริการบัตร เอ.ที.เอ็ม. ต่อมาจำเลยได้ลักบัตรไปถอนเงินจากธนาคารเป็นการลักเงินของธนาคาร ไม่ใช่ของผู้ฝากเงิน ธนาคารเป็นผู้เสียหาย (ใน 335 , 365 และ 368)) โจทก์ร่วมเป็นผู้รับฝากเงินเป็นอาชีพ ตามมาตรา 672 เงินที่ฝากไว้ย่อมเป็นเงินของโจทก์ร่วม ผิดลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง ตามป.อ.มาตรา 335 (11) 17 กระทง (ลักบัตร เอทีเอ็ม 1 ครั้ง ถอนเงิน 16 ครั้ง) และมาตรา 264 และ 268 อีกกระทงหนึ่ง

– คำพิพากษาฎีกาที่ 5449/2540 (สบฎ เน 40) จำเลยเป็นพนักงานเก็บเงินของบริษัทผู้เสียหาย เก็บเงินจากลูกค้าแล้วยักยอกไปโดยจำเลยได้แจ้งควยามต่อพนักงานสอบสวนว่า มีคนร้ายใช้อาวุธปืน และมีดจี้บังคับปล้นเอาเงินจำนวน 74,320 บาท ซึ่งเป็นของผู้เสี่ยหายขและบางส่วนเป็นของจำเลยไป โดยไม่มีการปล้นทรัพย์เกิดขึ้น แต่จำเลยทำพยานหลักฐานเท็จด้วยการใช้ท่อนไม้ทุบรถจักรยานยนต์ของจำเลย และแจ้งข้อความเท้จแก่พนักงานสอบสวนว่าได้มีการปล้นทรัพย์จำเลยจึงมีความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแจ้งความเท็จว่าได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นและทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ

– คำพิพากษาฎีกาที่ 496-7/2542 (สบฎ สต 113) จำเลยได้แก้ไขจำนวนเงินในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คให้น้อยลง จึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม จำเลยได้ทำลายต้นฉบับชุดฝากเงินสด และเช็คที่แท้จริงผิดฐานทำลายเอกสารของผู้อื่น จำเลยได้เบียดบังเงินฝากของโจทก์ร่วมจึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ การที่จำเลยเป็นพนักงานธนาคาร ต้องรับโทษหนัก ตาม ม 354

– คำพิพากษาฎีกาที่ 6892/2542 (สบฎ สต 96) ความผิดฐานลักทรัพย์ต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยพลการ โดยทุจริต มิใช่ได้ทรัพย์ไปเพราะผู้อื่นยินยอมมอบให้เนื่องจากลูกหลอกลวง การที่จำเลยเปลี่ยนเอาป้ายราคาโคมไฟตั้งโต๊ะ นำป้ายราคาโคมไฟอื่นมาติดแทนเป็นการหลอกลวงพนักงานเก็บเงินของผู้เสียหายโดยทุจริต ผิดฉ้อโกง

– คำพิพากษาฎีกาที่ 7264/2542 (สบฎ สต 98) การลอบทำรายการถอนเงินอันเป็นเท็จโดยไม่มีการถอนเงินจริง เชื่อได้ว่าผู้กระทำเช่นนี้กระทำเพื่อเอาเงินของผู้เสียหายโดยทำรายการถอนพรางไว้ จำเลยเป็นผู้เอาเงินของผู้เสียหายไปโดยมีอำนาจยึดถือเงินสดของผู้เสียหายไว้เพียงชั่วระยะเวลาทำการผู้เสียหายได้ส่งมอบเงินสดให้อยู่ในความครอบครองของจำเลยไม่จึงผิดฐานลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 633/2546 จำเลยทั้งสามกับย. ทำทีขอซื้อผ้าจากโจทก์ร่วมโดยหลอกให้โจทก์ร่วมขนผ้าขึ้นรถแล้วบอกว่าจะชำระค่าผ้าก่อน 20,000 บาทส่วนที่เหลือให้ตามไปเก็บจาก ย.เมื่อบุตรสาวของโจทก์ร่วมร้องไห้ภริยาของโจทก์ร่วมเข้าไปดูแลบุตรสาวภายในร้านจำเลยทั้งสามกับ ย. ก็พากันนำรถบรรทุกผ้าออกไปจากร้านทันที จำเลยทั้งสามกับ ย.มีเจตนาทุจริตหลอกลวงให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าจะซื้อผ้ามาแต่ต้นด้วยการวางแผนการเป็นขั้นตอน และไม่มีเจตนาจะใช้ราคาผ้าเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,83 มิใช่ลักทรัพย์ดังที่โจทก์ฟ้อง

author avatar
PongrapatLawfirm