ปรึกษาทนายความคดีบุกรุก-คดีอาญา-คดีแพ่ง-ฟ้องคดี

บุกรุกเข้าไปในที่ดินและทำลายทรัพย์สินในที่ดินจะต้องชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 2237/2565 (หน้า 1429 เล่ม 6)

คำฟ้องโจทก์บรรยายกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดทางอาญาฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์กับความรับผิดทางละเมิดรวมกันมา

มีลักษณะเป็นการบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามจงใจทำละเมิด ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามมิใช่เป็นการจงใจแต่เป็นความประมาทเลินเล่อ ถือว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ มิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีอาญาข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ คดีถึงที่สุด โดยศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้อง ซึ่งความรับผิดทางแพ่งของจำเลยทั้งสามในคดีนี้เกิดจากการกระทำความผิดอาญาอันมีมูลคดีเดียวกัน จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้นยุติว่าจำเลยทั้งสามเข้าไปปรับปรุงที่ดินพิพาทโดยเข้าใจว่าตนมีสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายและโดยได้รับอนุญาตจาก พ.เจ้าของที่ดินเดิมแล้ว หาใช่เป็นการกระทำโดยพลการไม่ การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการกระทำโดยขาดเจตนากระทำความผิด จึงไม่เป็นความผิดตมฟ้อง เมื่อในคดีอาญาฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญาได้ ทั้งตามพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสามเข้าไปในที่ดินพิพาทโดยเข้าใจว่าตนมีสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายและโดยได้รับอนุญาตจาก พ.เจ้าของที่ดินเดิมแล้ว ยังไม่อาจฟังได้ว่าความเข้าใจว่าตนมีสิทธิทำได้ของจำเลยทั้งสามเป็นไปด้วยความประมาทเลินเล่อ ดังนี้ ต้องฟังว่าจำเลยทั้งสามมิได้กระทำละเมิดอันจะต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

(หมายเหตุ 1 ข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2544 โจทก์ทำสัญญาร่วมลงทุนโครงการปลูกกาแฟกับ พ.
2 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2556 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับบริษัท ข. จำเลยที่ 1 จึงว่าจ้างให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำรถไถและคนงานเข้าไปในที่ดินพิพาทเพื่อปรับที่ดินทำถนน ตัดต้นกาแฟ ต้นไม้
3 วันที่ 22 กันยายน 2556 โจทก์ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้บุกรุกและทำลายทรัพย์สินในที่ดินพิพาท
4 ต่อมา โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีอาญา ข้อหาบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ โดยปี พ.ศ.2557 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง โดยศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด
5 ปี พ.ศ.2558 ศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีที่บริษัท ข.ฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท โดยศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท
6 ต่อมา โจทก์ได้มาฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 49 ล้านบาทเศษ
7 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามมิใช่เป็นการจงใจแต่เป็นความประมาทเลินเล่อถือว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 2,300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
8 ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์
9 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายืน)

line PongrapatLawFirm
line PongrapatLawFirm
ทนายคดีหมิ่นประมาท ทนายคดีที่ดิน ทนายคดียาเสพติด ทนายคดีอาญา ทนายคดีแพ่ง ทนายคดีกู้ยืมเงิน ทนายคดีปลอมเอกสาร ทนายพัตร์ ทนายพงษ์รพัตร์
ทนายคดีหมิ่นประมาท ทนายคดีที่ดิน ทนายคดียาเสพติด ทนายคดีอาญา ทนายคดีแพ่ง ทนายคดีกู้ยืมเงิน ทนายคดีปลอมเอกสาร ทนายพัตร์ ทนายพงษ์รพัตร์
author avatar
ทนายความใกล้ฉัน